มาตรการการลงโทษทางอาญาของผู้กระทำความผิดนั้น ถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรง เนื่องจากเป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลผู้กระทำความผิดโดยลักษณะของโทษที่จะบังคับแก่ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาของไทยมี 5 ประการ ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติไว้ว่า โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
(1) ประหารชีวิต
(2) จำคุก
(3) กักขัง
(4) ปรับ
(5) ริบทรัพย์สิน
โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี
ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี[1]
ดังนั้นเมื่อพิจารณาตามมาตรา 18 แล้ว สามารถแบ่งลักษณะของโทษที่จะบังคับแก่ผู้กระทำความผิดได้ 3 ประการ ดังนี้
1. โทษที่บังคับต่อชีวิต ได้แก่
โทษประหารชีวิต โดยการเอาไปยิงเสียให้ตาย
2. โทษที่บังคับต่อเสรีภาพ ได้แก่
โทษจำคุก โดยมีกำหนดระยะเวลาและไม่มีกำหนดระยะเวลา ซึ่งการคำนวณเกี่ยวกับระยะเวลาจะคุกจะเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
โทษกักขัง ให้กักขังผู้ต้องโทษไว้ในสถานที่อันมิใช่เรือนจำโดยมีระยะเวลาอยู่ภายในเงื่อนไขของกฎหมายและจะนำไปใช้เป็นการลงโทษหรือเป็นมาตรการบังคับในกรณีที่ฝ่าฝืนการลงโทษปรับ ริบทรัพย์ ตลอดจนเรียกประกันทัณฑ์บนในวิธีเพื่อความปลอดภัย
3. โทษที่บังคับต่อทรัพย์สิน ได้แก่
โทษปรับ ผู้นั้นต้องชำระเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา หาก
ขัดขืนผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือกักขังแทนค่าปรับ โทษนี้มักใช้คู่กับโทษจำคุก
โทษริบทรัพย์ บังคับเอาแก่ทรัพย์ที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิด ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ได้มาโดยการกระทำความผิด และได้ให้เป็นสินบนหรือได้ให้เพื่อจูงใจเป็นรางวัลในการกระทำความผิด[2]
โทษประหารชีวิตนั้นเป็นโทษสูงสุดของผู้กระทำความผิด โดยการประหารชีวิตนั้นได้มีการแบ่งแนวความคิดออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่มีการสนับสนุนให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยที่จะมีการยกเลิกโทษประหารชีวิต
แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยังคงมีโทษประหารชีวิตแต่ในทางปฏิบัติ หากแต่ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้มีการประหารชีวิตใน พ.ศ. 2552 หลังจากนั้นเป็นระยะเวลาเกือบ 4 ปี จนกระทั่งถึงปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้มีการประหารชีวิตแต่ประการใด ดังนั้นหากประเทศไทยจะยกเลิกโทษประหารชีวิตในอนาคต อาจจะเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรม และเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนชาวไทย
รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิผู้กระทำผิดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและเป็นการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง[3]
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าควรที่จะยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยโทษประหารชีวิตนั้นไม่ควรมีอยู่ต่อไป เนื่องจากการลงโทษประหารชีวิตเป็นการกระทำที่โหดร้าย ซึ่งเป็นการตัดโอกาสของผู้กระทำความผิดให้ออกไปจากสังคม เป็นตัวอย่างให้กับประชาชนที่คิดจะกระทำความผิดไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำขึ้นอีก ดังเช่นสุภาษิตไทยที่ว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ข้าพเจ้ามีความคิดว่าควรที่จะใช้วิธีการอื่นที่จะนำมาบังคับแก่ผู้กระทำความผิด เช่น เปลี่ยนจากโทษประหารชีวิตมาเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทนได้
หากเปรียบเทียบประเทศที่ยังมีโทษประหารชีวิตอยู่คือประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่เป็นอภิมหาอำนาจของโลกกับประเทศที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้วคือประเทศแคนาดานั้น พบว่าประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการลงโทษอย่างเฉียบขาดและมีความรุนแรง ยังคงมีจำนวนอาชญากรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากประเทศแคนาดาที่มีจำนวนอาชญากรรมลดลง จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่นั้นจะมีผลเป็นการยับยั้งการกระทำความผิดได้มากน้อยเพียงใด
แนวคิดเบื้องหลังของโทษประหารชีวิต สามารถพิจารณาได้เป็น 3 ประการ ดังนี้
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าโทษประหารชีวิตนั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 5 “บุคคลใดจะถูกกระทำการทรมานหรือการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีไม่ได้”[4]โดยขัดกับสิทธิมนุษยชนตรงที่คนทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิต ซึ่งได้มีการรับรองไว้ในปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
องค์การสหประชาชาติได้มีการเรียกร้องให้สมาชิกขององค์การสหประชาชาติยกเลิกการประหารชีวิต จากการเริ่มจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2488 มีเพียง 8 ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารสำหรับความผิดทางอาญาทุกประการ ในวันนี้สมาชิกองค์การสหประชาชาติ 136 จาก 192 ประเทศได้ยกเลิกโทษประหารทั้งในทางกฎหมายหรือปฏิบัติแล้ว แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มภายในประชาคมระหว่างประเทศที่ส่งเสริมและเคารพในสิทธิมนุษยชนมากขึ้น[5]
แนวทางการยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศไทย ประกอบด้วย การให้การศึกษาอบรมเพื่อให้ความรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ให้ปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อต้านการยกเลิกโทษประหารชีวิต ไปสู่ทัศนคติที่เป็นกลาง และทัศนะที่เห็นด้วยกับการยกเลิกโทษประหารชีวิตในที่สุด รวมทั้งการผลักดันให้มีการนำมาตรการที่จะนำไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป ทีละขั้นตอน เพื่อลดการต่อต้านการยกเลิกโทษประหารชีวิต และการผลักดันให้มีการการปรับปรุงระบบยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในการลงโทษผู้กระทำผิดด้วยความรวดเร็วและแน่นอน ดำเนินการคู่ขนานไปกับมาตรการยกเลิกโทษประหารชีวิต[6]
อ้างอิง
[1] ประมวลกฎหมายอาญา http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%BB06/%BB06-20-9999-update.pdf (สืบค้นวันที่ 11 เมษายน 2557)
[2] โทษและวิธีการเพื่อความปลอดภัย https://sites.google.com/site/criminallawnr/khwam-rab-phid-thang-xaya/thos-laea-withi-kar-pheux-khwam-plxdphay (สืบค้นวันที่ 10 เมษายน 2557)
[3] โทษประหารชีวิตในประเทศไทย http://library.nhrc.or.th/ulib/document/Fulltext/F07970.pdf (สืบค้นวันที่ 11 เมษายน 2557)
[4]ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/book.pdf (สืบค้นวันที่ 10 เมษายน 2557)
[5]มุมมองด้านสิทธิมนุษยชนต่อการใช้โทษประหารชีวิต http://www.amnesty.or.th/th/our-work/end-the-death-penalty (สืบค้นวันที่ 10 เมษายน 2557)
[6] โทษประหารชีวิตในประเทศไทย http://library.nhrc.or.th/ulib/document/Fulltext/F07970.pdf (สืบค้นวันที่ 10 เมษายน 2557)
ไม่มีความเห็น