บันทึกขั้นตอนการปฏิบัติงานของทีมงานกระจกเงาในการให้ความช่วยเหลือกรณีคำร้องเด็กชายนิวัฒน์จันทร์คำ หรือ “น้องนิค”
โดย นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา
เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖ แก้ไขเพิ่มเติม ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖,แก้ไขเพิ่มเติม ๕ ก.พ.๒๕๕๗
----------------------------------------------------------------------------------------
๑ กันยายน ๒๕๕๖
เวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. น้องแหม่ม สุรีย์ อุ่ยแม เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานภายใต้โครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (StatelessChildren Project :SCPP) ผู้ประสานงานโครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (Stateless Children Project :SCPP) จังหวัดเชียงรายรับเรื่องร้องขอความช่วยเหลือกรณีไร้สิทธิ ไร้รัฐไร้สัญชาติ ของนายนิวัฒน์จันทร์คำ จากนางสาวพัชยานี ศรีนวล ผู้จัดการสำนักงานโครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (StatelessChildren Project :SCPP) จังหวัดเชียงใหม่เพื่อส่งต่อและรับเคสที่อยู่ในพื้นที่ดูแลในจังหวัดเชียงราย ผ่านช่องทางสื่อสารทางโทรศัพท์ และคุณพัชยานี.ได้ให้เบอร์โทรติดต่อพร้อมสำเนาอีเมล์ให้กับทางน้องแหม่มในการประสานงานช่วยเหลือเคสเป็นลำดับต่อไป
๒ กันยายน ๒๕๕๖
น้องแหม่ม สุรีย์ อุ่ยแม เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานภายใต้โครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (Stateless Children Project :SCPP) จังหวัดเชียงรายโทรประสานงานติดต่อเพื่อพูดคุยซักถามถึงที่มาที่ไปของน้องนิวัฒน์ จันทร์คำแต่เนื่องจากน้องติดเรียนเลยไม่สะดวกในการพูดคุยเลยให้ติดต่อผ่านช่องทางอีเมล์แทนการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์
๓ กันยายน ๒๕๕๖
น้องนิวัฒน์ จันทร์คำ สื่อสารกลับมาทางอีเมล์ที่น้องแหม่มสื่อสารไปเมื่อวันที่2 กันยายน 2556เนื้อหาในการสนทนาคือการบอกเล่าเรื่องราวของตัวน้องนิวัฒน์และข้อกังวลที่น้องอยากสอบถามคือเรื่องเกี่ยวกับช่องทางหรือแนวทางการศึกษาต่อของตัวน้องเองที่ใกล้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
๖ กันยายน ๒๕๕๖
น้องแหม่มได้นำเรื่องราวของเคสที่รับเรื่องมาปรึกษาในทีมทำงานของมูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานภายใต้โครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (Stateless Children Project :SCPP) จังหวัดเชียงราย และ คุณวีระอยู่รัมย์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา และดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการโครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ(Stateless
Children Project :SCPP) เพื่อหาทางช่วยเหลือเคสนี้เป็นลำดับต่อไป สรุปผลการพูดคุยในทีมทำงานเราจะเสนอเคสน้องนิวัฒน์เข้าสู่โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
น้องแหม่มติดต่อไปหาน้องนิวัฒน์ เพื่อนัดหมายและสอบถามความพร้อมกรณีที่จะมีคณะทำงานโครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงพื้นที่ไปพบน้องนิวัฒน์และครอบครัวที่อาศัยอยู่ณ ปัจจุบัน ทางน้องนิวัฒน์ไม่มีปัญหาในการพบเจอครั้งนี้
๒ ตุลาคม ๒๕๕๖
น้องนิวัฒน์ติดต่อมาหาน้องแหม่มทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามว่าทีมเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานภายใต้โครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (Stateless Children Project :SCPP) จังหวัดเชียงราย และทีมโครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเดินทางมาหาน้องเมื่อไร
๓ ตุลาคม ๒๕๕๖
เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานภายใต้โครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (Stateless Children Project :SCPP) จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วยนางสาวสุรีย์ อุ่ยแม นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ และคณะทำงานโครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบด้วย อาจารย์พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร และอาจารย์รัชนีกร ลาภวณิชชา เดินทางไปพบน้องนิวัฒน์และครอบครัว
วันนี้เราไปพบเจอ น้องนิวัฒน์ จันทร์คำ น้องสายพร จันทร์คำ (น้องสาวน้องนิวัฒน์)และป้าเอื้อยคำ ตานคำ สรุปการพูดคุยวันนี้คือแนวทางการช่วยเหลือน้องนิวัฒน์และน้องสายพรในการยื่นขอสถานะบุคคลและในส่วนของป้าเอื้อคำคือให้ความรู้และทำความเข้าใจเรื่องการถ่ายทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้ป้า บุตรสาว และสามี ไปทำบัตร และไปทำบัตรประกันสุขภาพ ๓๐ บาท เป็นการด่วน
น้องนิวัฒน์ จันทร์คำ ได้ทำหนังสือขอความช่วยเหลือด้านสถานะบุคคล ถึง คณะบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่งผ่าน อาจารย์พันธุ์ทิพย์กาญจนะจิตรา สายสุนทร และอาจารย์รัชนีกร ลาภวณิชชา ถึงอธิการบดี
๕ ตุลาคม๒๕๕๖
นายยุทธชัย จะจู เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานภายใต้โครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (Stateless Children Project :SCPP) จังหวัดเชียงราย โทรศัพท์ไปนัดหมายป้าเอื้อยคำเพื่อนัดหมายไปถ่ายบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ที่อำเภอเชียงแสนจังหวัดเชียงราย ในรายละเอียดการพูดคุยมีการทำความเข้าใจให้ป้าเอื้อยพรเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมต้องมีการถ่ายบัตรทั้งที่ป้าถือบัตรประจำตัวคนต่างด้าวและใบสำคัญถิ่นที่อยู่ตามความเข้าใจของป้าเอื้อยคำก็น่าจะเพียงพอแล้วแต่โดยกฎหมายต้องมีการถ่ายบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยด้วย ป้าเอื้อยคำ ยังไม่รับปากว่าจะพร้อมตามวันที่เรานัดหมายหรือไม่ แต่ขอโทรนัดสามีก่อนแล้วจะติดต่อกลับมานายยุทธชัย จะจู ฝากเบอร์โทรกลับเป็นเบอร์มือถือและเบอร์ที่ทำงาน๐๕๓-๗๓๗๔๒๕ ในการติดต่อกลับ
๖ ตุลาคม๒๕๕๖
น้องนิวัฒน์ติดต่อกลับมาหา นายยุทธชัย จะจูทางโทรศัพท์ และเล่าเรื่องราวหลังจากการไปพบเจอกันครั้งแรกที่บ้านของญาติที่น้องมาอาศัยอยู่ว่าผู้เป็นลุงไม่พอใจที่ให้คนที่ไม่รู้จักไปหาที่บ้าน เพราะเกรงกลัวว่าจะเป็นกลุ่มคนที่มาหลอกเพื่อหวังผลประโยชน์ทางนายยุทธชัย แนะนำให้น้องนิวัฒน์ทำความเข้าใจกับลุงและป้าเอื้อยคำ ถึงการเข้ามาให้ความช่วยเหลือของพวกเราในครั้งนี้ให้เข้าใจตรงกัน
น้องนิวัฒน์ติดต่อกลับมาอีกครั้งแจ้งว่าทางลุงและป้าเอื้อยคำเข้าใจเหตุผลการทำงานและการให้ความช่วยเหลือของทีมเราและนัดหมายเพื่อไปรับป้าเอื้อยคำ และลูกสาวคนโต ที่อำเภอแม่สายเพื่อเดินทางไปอำเภอเชียงแสนไปถ่ายบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย พร้อมนัดเจอลุง(สามีป้าเอื้อยคำ) ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๖
๗ ตุลาคม๒๕๕๖
นายยุทธชัย จะจูติดต่อกลับน้องนิวัฒน์เพื่อขอเลื่อนการเดินทางไปถ่ายบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยของป้าเอื้อยคำสามี และลูกสาวคนโต เป็นหลังวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพราะทางทีมงานไม่สะดวกในวันเวลาดังกล่าว เนื่องจากติดภารกิจ
๘ ตุลาคม๒๕๕๖
คุณยุทธชัย จะจู ได้รับโทรศัพท์ จากหมายเลข๐๘๔-๘๙XXXXX [1]อ้างตัวเป็นผู้ประสานงาน และเป็นญาติกับป้าเอื้อยคำ โดยแจ้งว่า “ ตนเองได้โทรศัพท์ไปสอบถามที่อำเภอเชียงแสนเกี่ยวกับการถ่ายทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ที่ถือบัตรประจำตัวคนต่างด้าวและใบสำคัญถิ่นที่อยู่ ปลายสายอ้างว่า ทางอำเภอเชียงแสนไม่มีการดำเนินการถ่ายบัตรใดๆ สำหรับคนกลุ่มนี้
พร้อมทั้งห้ามคุณยุทธชัยและทีมงานไม่ให้เข้าไปให้ความช่วยเหลือหรือติดต่อครอบครัวป้าเอื้อยคำอีก โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้ป้าเอื้อยคำกลัวมาก ส่วนเรื่องของน้องนิวัฒน์ และน้องสายพร จันทร์คำทางปลายสายแจ้งว่าจะเข้าไปดำเนินการเองโดยทางเรามิต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอีก
นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ รับโทรศัพท์ที่เบอร์๐๕๓-๗๓๗๔๒๕ ปลายสายอ้างว่าโทรมาจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติโทรมาขอสายคุณเชษฐา อำพันพงศ์เพื่อสอบถามว่าได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการโทรไปนัดหมายเพื่อถ่ายบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยของป้าเอื้อยคำสามี และลูกสาวคนโต ใช่ไหม และได้สอบถามทางเราว่า คุณวีระเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงาใช่หรือไม่
หลังจากการพูดคุยเบื้องต้น เราต่อสายให้คุยกับคุณวีระอยู่รัมย์ โดยตรง ทราบชื่อผู้โทร ชื่อ สุรวี (ชื่อตามกล่าวอ้างของปลายสายที่โทรเข้ามา) เขาแจ้งว่าโทรมาจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสอบถามและต้องการทราบข้อมูลนายเชษฐา อำพันพงศ์
คุณวีระแนะนำตัวเองและแจ้งปลายสายให้ทราบว่าคุณเชษฐา เคยทำงานที่มูลนิธิกระจกเงาจริง แต่ลาออกไปนานกว่า ๑๐ ปีแล้วและจะตรวจสอบว่าคุณเชษฐา อำพันพงศ์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีนี้หรือไม่ตามคำกล่าวอ้างของผู้โทรปลายสาย
๑๑.๔๙ น. คุณวีระ อยู่รัมย์ ได้โทรไปที่ หมายเลข๐๘๔-๘๙XXXXXเพื่อทำความเข้าใจและแจ้งเหตุผลที่เราเข้าไปช่วยเหลือน้องนิวัฒน์กับเจ้าของเบอร์นี้ที่โทรเข้ามาหาคุณยุทธชัย[1]
จากการพูดคุยทางปลายสายไม่ต้องการให้ทางมูลนิธิกระจกเงาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือน้องนิวัฒน์และน้องสายพร จันทร์คำอีก แต่ทางเรายืนยันจะให้ความช่วยเหลือและแจ้งให้เขาทราบว่าถ้าเขาทำเช่นนี้เท่ากับว่าละเมิดสิทธิของเด็ก เพราะกรณีของน้องนิวัฒน์ และน้องสายพร จันทร์คำ
ณ ช่วงเวลานั้นเด็กไม่มีผู้ปกครองโดยชอบธรรมด้วยกฎหมาย และทางน้องนิวัฒน์เองได้เขียนจดหมายเพื่อ
ขอความช่วยเหลือจากทาง โครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยส่งผ่านอาจารย์พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตราสายสุนทร และอาจารย์รัชนีกร ลาภวณิชชา
คุณวีระแจ้งให้ปลายสายที่อ้างตัวเป็นญาติน้องนิวัฒน์แจ้งให้น้องนิวัฒน์ทำหนังสือเพื่อยกเลิกการร้องขอความช่วยเหลือจากทางมูลนิธิกระจกเงาและทางโครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราไม่ได้รับคำตอบในส่วนนี้เพราะคนปลายสายไม่ยินดีที่จะให้น้องนิวัฒน์และป้าเอื้อยคำติดต่อกับเราอีกและอ้างว่าตนติดต่อกับมูลนิธิเตือนใจแล้ว
๑๖.๕๘ น. นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ พยายามติดต่อไปที่น้องนิวัฒน์ เพื่อเช็คสภาพน้องณ เวลานี้ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ทางโทรศัพท์มือถือ เลยเลือกอีกช่องทางหนึ่งทางการสื่อสาร โดยส่งข้อความผ่าน Facebook เพื่อให้น้องรับทราบและติดต่อกลับในกรณีที่น้องได้อ่านข้อความนี้ ซึ่งถือว่าวิธีการนี้ไม่แน่นอนในเรื่องคำตอบเลย ว่าน้องนิวัฒน์จะได้รับสารนี้หรือไม่
๑๗.๑๐ น. น้องนิวัฒน์ติดต่อกลับมาทางเฟรชบุค แต่ทางนางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์เองยังไม่ได้เปิดข้อความอ่าน ณเวลานั้น
๑๙.๑๗ น. นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ได้เปิดอ่านข้อความที่น้องนิวัฒน์ตอบกลับมาทาง Facebook
“คือพี่แอนคับผมมีอะไรจะเล่าให้ฟังครับ ผมรู้แล้วนะคับตอนนี้ว่าแม่ผมอยู่ไหนครับ
แม่ผมแต่งงานใหม่แล้วคับกับชาวไทยลื้อสัญชาติพม่าครับ แล้วตอนนี้แม่ผมก็จะมารับผมและน้องไปตรวจDNAเพื่อพิสูจน์สัญชาติพม่าแล้วนะครับ
ส่วนเรื่องของป้ากับลุงผมแกไม่ยอมไปทำบัตรเลยหล่ะครับผมอธิบายแล้วอธิบายอีกว่าพวกพี่ทีมงานมูลนิธิกระจกเงาเขามาดีแกก็ไม่ยอมเชื่อครับผมเลยอยากขอพี่ๆอย่าพึ่งโทรไปหาแกนะครับเพราะตอนนี้แกจะคิดมากจนเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วหล่ะคับ
ผมขอโทษแทนป้ากับลุงด้วยนะคับถ้าป้าผมพูดอะไรที่ล่วงเกินพี่ๆทีมงานมูลนิธิกระจกเงานะครับ
ส่วนเรื่องของผมกับน้องผมคาดว่าจะไปอยู่ฝั่งพม่าเลยครับถ้าพิสูจน์สัญชาติพม่าแล้วได้สัญชาติพม่าครับ
ผมขอขอบพระคุณพี่ๆทีมงานที่ให้ความช่วยและผมอยากบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงผมและน้องแล้วนะคับเพราะผมเจอแม่แล้วคับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นิกและน้องสาว ”
หลังอ่านข้อความที่น้องตอบกลับมา นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ ประสานน้องนิวัฒน์กลับทางโทรศัพท์ และพยายามสอบถามความเป็นอยู่ ณ เวลานี้ และที่มาที่ไปของแม่ซึ่งน้องเองยังไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับ แม่ เราขอพบน้องในช่วงเวลานั้นเลย แต่ทางน้องนิวัฒน์ไม่สะดวกที่จะพบเรา เพราะเวลานั้นลุง (สามาป้าเอื้อยคำ) กลับมาที่บ้านที่แม่สายและน้องนิวัฒน์เองก็มีปากเสียงกับลุงพอสมควรในการอธิบายเพื่อทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของทีมงานที่น้องนิวัฒน์ มาร้องขอความช่วยเหลือ
ลุงได้ติดต่อให้แม่มารับน้องและตนเองข้ามไปอยู่ด้วยกันกับแม่ที่ประเทศพม่า น้องนิวัฒน์แจ้งว่าวันนี้แม่พาน้องสายพร จันทร์คำ ข้ามไปฝั่งประเทศพม่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนตนเองนั้นจะข้ามตามไปวันพรุ่งนี้พร้อมกับพ่อเลี้ยง คนไทยลื้อที่เปิดร้านขายของอยู่ทางโน้น ข้ามแม่น้ำกั้นชายแดน ไทย – พม่า ที่บริเวณอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย
๑๙.๕๕น. นายวีระอยู่รัมย์,นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ จากมูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานภายใต้โครงการคุ้มครองเด็กไร้รัฐ (Stateless Children Project :SCPP) จังหวัดเชียงรายและนางสาวศิวนุช สร้อยทอง นางสาวพวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์ และคุณ wikanda pattiboonจากโครงการบางกอกคลีนิค มาร่วมสนทนาปรึกษาหารือถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ในวันนี้ที่เกิดขึ้นและหาทางออกร่วมกันพร้อมกับพูดคุยถึงความต้องการของน้องนิวัฒน์และสาเหตุความเร่งด่วนในการเดินทาง ผ่านทาง Inbox Facebook ของนางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์
๒๑.๑๗ น. น้องนิวัฒน์ ติดต่อเข้ามาทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันที่จะข้ามไปฝั่งประเทศพม่า โดยให้เหตุผล ว่าเพื่อข้ามไปทำความเข้าใจหลาย ๆ เรื่องราวจากผู้เป็นแม่ และที่สำคัญเพื่อยื่นขอพิสูจน์สถานะบุคคลสัญชาติพม่าตามแม่เป็นลำดับต่อไป
น้องได้แจ้งข้อกังวล เรื่องที่พักอาศัยในประเทศไทยในกรณีที่น้องกลับมาเพื่อศึกษาต่อ ทางทีมงานเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา แจ้งให้ความช่วยเหลือในส่วนนี้ และน้องเองก็คลายความกังวลไปได้มาก
เราชวนน้องเข้าไปคุย และบอกลาอาจารย์พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร และอาจารย์รัชนีกร ลาภวณิชชา และพี่ ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือ เพราะทุกคนห่วงน้องนิวัฒน์มาก น้องแจ้งว่าไม่สะดวกใช้อินเตอร์เน็ตในช่วงเวลานั้นเพราะเงินในโทรศัพท์มือถือหมด ไม่สามารถออนไลน์อินเตอร์เน็ตได้ คุณวีระ อยู่รัมย์ ได้ทำการเติมเงินโทรศัพท์ให้น้องนิวัฒน์ จำนวน ๑๐๐ บาทเพื่อให้น้องสามารถเชื่อมสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้ในช่วงเวลานั้น
๙ ตุลาคม ๒๕๕๖
น้องนิวัฒน์ ติดต่อมาหาเราก่อนออกเดินทางข้ามแดนไปประเทศพม่า และสัญญาจะติดกลับมาให้เร็วที่สุดเมื่อน้องเดินทางไปถึงจุดหมาย
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖
๐๗.๐๖ น. น้องนิวัฒน์ ติดต่อกลับมาที่นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ น้องจึงติดต่อมาที่ นางสาวสุรีย์ อุ่ยแม เพื่อแจ้งให้เราทราบว่า ขณะนี้น้องนิวัฒน์ได้เจอแม่ และน้องสายพรแล้ว และจะพักอาศัยที่ เมืองลา ประเทศพม่าสักพักใหญ่ ๆ เพื่อพิสูจน์สถานะตัวบุคคล สัญชาติพม่า โดยทางพ่อเลี้ยงจะเป็นคนเดินเรื่องรวมไปถึงเอกสารต่าง ๆ ให้ตนเองและน้อง พร้อมขอบคุณสำหรับทุกความช่วยเหลือ และจะติดต่อกลับมาหาเราใหม่
๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๖
๐๙.๔๓ น. น้องนิวัฒน์ ติดต่อกลับมาทางโทรศัพท์มือถือข้าพเจ้า น้องนิวัฒน์แจ้งว่า น้องสายพร ได้เพิ่มชื่อเข้าไปในทะเบียนราษฎรพม่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเรียนต่อที่พม่าเลย ส่วนตัวน้องนิวัฒน์เองตอนนี้ยังมีปัญหาเพราะโตแล้ว อยู่ในเกณฑ์อายุคนวัยทำงาน ต้องใช้เวลา และต้องอยู่อาศัยเป็นเวลานานในท้องที่นั้น ๆ น้องนิวัฒน์ ห่วงเรื่องการเรียนที่ยังค้างคาที่ฝั่งไทย และตัดสินใจกลับมาเพื่อมาเรียนต่อให้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจะขอย้ายจากโรงเรียนเดิม ที่อำเภอแม่สาย ไปเรียนที่ จังหวัดตรัง น้องนิวัฒน์ จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย ทางอำเภอแม่สายในวันที่ ๓ หรือวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ นี้ และขอความช่วยเหลือด้านสถานะบุคคล (บัตรเลข ๐)
ข้าพเจ้า ได้ปรึกษา นายวีระ เพื่อหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ นายวีระได้ให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้าว่า ให้คุยกับน้องนิวัฒน์เรื่องการย้ายโรงเรียนที่น้องนิวัฒน์ต้องการย้ายไปอยู่กับป้าจันทร์ ที่จังหวัดตรังและเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นทางทีมงานมูลนิธิกระจกเงาจะช่วยเหลือทางทะเบียนราษฎร์ลำบากมาก เพราะหลายขั้นตอนต้องเดินทางติดต่อประสานงาน และพร้อมจะช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย ช่วงที่เรียนในประเทศไทยถ้าน้องนิวัฒน์ต้องการ
ข้าพเจ้าโทรศัพท์แจ้งน้องนิวัฒน์ ตามที่คุณวีระ ได้อธิบายให้ฟัง และให้น้องนิวัฒน์ตัดสินใจอีกครั้ง น้องนิวัฒน์ตัดสินใจเลื่อนเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เป็นวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ นี้ และจะติดต่อกลับมาหาข้าพเจ้าอย่างเร็วที่สุด
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เวลา ๐๗.๓๓ น. น้องนิวัฒน์ ติดต่อมาทางโทรศัพท์มือถือของข้าพเจ้า (นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์) และบอกว่าตนเองตัดสินใจแล้วที่จะกลับมาเรียนให้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แต่ถ้ากลับเข้ามาติดปัญหาเรื่องที่พักเพราะน้องนิวัฒน์ ไม่กลับไปพักบ้านลุงกับป้าเช่นเดิมแล้ว ข้าพเจ้าแจ้งให้น้องทราบถึงข้อมูลบ้านนานา บ้านพักที่รองรับเด็กที่ไร้รัฐไร้สัญชาติ เพื่อช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย และส่งให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาด้วย จากการพูดคุยน้องนิวัฒน์สบายใจเรื่องที่พัก และให้ข้าพเจ้าคุยกับพ่อเลี้ยง เพื่อให้พ่อเลี้ยงสบายใจว่าเราให้การช่วยเหลือน้องด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังสิ่งใดตอบแทน จากการพูดคุยกับพ่อเลี้ยงน้องนิวัฒน์ พ่อบอกให้เราทราบว่า น้องนิกอยู่ทางฝั่งพม่าแบบไม่มีความสุขเลย เพราะน้องอยากเรียนหนังสือ พ่อเลี้ยงก็กังวลใจถ้าน้องนิกกลับมาเรียนต่อจะอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าอธิบายถึงที่พัก และการให้ความช่วยเหลือของเราให้พ่อเลี้ยงเข้าใจ พ่อเลี้ยงก็เบาใจในเรื่องนี้ และนัดหมายเดินทางมาส่งน้องนิวัฒน์ที่ฝั่งไทยในเช้าวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ในวันที่น้องเดินทางมาถึง ข้าพเจ้าแจ้งให้พ่อเลี้ยงน้องนิวัฒน์ทราบว่า เราจะไปรับน้องที่บริเวณด่านแม่สายและไปส่งน้องที่บ้านนานา
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. ข้าพเจ้า (นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์) ได้ประสานงานไปที่บ้านนานา เพื่อขอความช่วยเหลือด้านที่พักให้น้องนิวัฒน์เข้าไปพักพิงช่วงกำลังศึกษาในฝั่งไทย ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าขอปรึกษาและประชุมเร่งด่วนเรื่องนี้ และซักถามความเป็นมาของน้องนิวัฒน์ที่ทางมูลนิธิกระจกเงาเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และทางบ้านนานาจะติดต่อกลับมาก่อนเวลาเที่ยงของวันนี้
เวลาประมาณ ๑๑.๔๕ น. ทางบ้านนานาติดต่อกลับมาแจ้งผลการประชุมรับน้องนิวัฒน์ ซึ่งทางบ้านนานาแจ้งว่าทางบ้านนานาให้เรานำน้องมาส่งเข้าบ้านพักได้เลย
เวลาประมาณ ๑๑.๕๐ น. น้องนิวัฒน์ติดต่อมาหาข้าพเจ้าทางโทรศัพท์ว่าเดินทางข้ามมาถึงฝั่งประเทศไทยแล้ว และจะรอข้าพเจ้าที่บริเวณด่านอำเภอแม่สาย
เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ข้าพเจ้าพร้อมด้วย นางสาวสุรีย์ อุ่ยแม เดินทางไปอำเภอแม่สาย จุดหมายคือบริเวณนัดหมาย หน้าห้างหงส์ฟ้าพลาซ่า เพื่อรับน้องนิวัฒน์และพ่อเลี้ยงไปที่บ้านนานา
เวลาประมาณ ๑๔.๓๐ น. ข้าพเจ้า นางสาวสุรีย์ อุ่ยแม น้องนิวัฒน์ และพ่อเลี้ยง เดินทางไปบ้านนานา ถึงบ้านนานาได้เจอกับครูเหงา ผู้ก่อตั้งบ้านนานา พูดคุยเกี่ยวกับความเป็นมาและการให้ความช่วยเหลือน้องนิวัฒน์ ที่ทางมูลนิธิกระจกเงาเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือทางด้านสถานะบุคคล และส่งน้องนิวัฒน์ให้อยู่ในความดูแลของบ้านนานา ก่อนกลับครูเหงาได้ย้ำให้พ่อเลี้ยงเร่งทำด้านสถานะบุคคลของน้องนิวัฒน์ทางฝั่งพม่าให้เรียบร้อยก่อนการเปิดอาเซียน เพราะจะยังไม่ยุ่งยากมากนัก แต่ถ้ารอจนเปิดอาเซียนการยื่นขอสถานะบุคคลของประเทศพม่าจะยุ่งยากกว่านี้
เวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ข้าพเจ้า นางสาวสุรีย์ อุ่ยแม พ่อเลี้ยงน้องนิวัฒน์ เดินทางกลับจากบ้านนานา และไปส่งพ่อเลี้ยงน้องนิวัฒน์ที่ด่านแม่สาย เพื่อกลับข้ามฝั่งพรหมแดนก่อนด่านปิดในวันนี้ ระหว่างการเดินทางจากบ้านนานา ไปด่านแม่สาย ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับพ่อเลี้ยงน้องนิวัฒน์ ถึงความเป็นอยู่ทางฝั่งพม่า และถามถึงน้องสายพร ที่ติดตามแม่ไปอยู่ทางฝั่งพม่า พ่อเลี้ยงน้องนิวัฒน์เล่าว่า ตนเองทำนา ปลูกผัก บางปีก็ได้ขายแต่ส่วนใหญ่จะปลูกไว้กินเองมากกว่า ส่วนแม่น้องนิวัฒน์ น้องสายพร เปิดร้านค้าขายของชำเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ความเป้นอยู่ไม่ถึงกับลำบากแต่ด้วยการปกครองของประเทศพม่าที่ยังถือว่าคนไทยใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยทำให้หมู่บ้านไทยใหญ่ที่ตนเองอยู่ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ถึงด่านเราล่ำลาพ่อเลี้ยงน้องนิกและส่งข้ามด่านพรหมแดนไทย – พม่า ในเย็นวันนั้น
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. ข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปสอบถามน้องนิวัฒน์ เพื่อเช็คสภาพหลังจากเข้าไปพักที่บ้านนานาในคืนแรก น้องนิวัฒน์บอกว่าสามารถอยู่ได้ไม่มีปัญหา และอยู่ได้ด้วยความสบายใจ ข้าพเจ้าถามถึงเพื่อนที่อยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นเด็กในวันใกล้เคียงกัน น้องนวัฒน์บอกว่าได้เจอเพื่อนและพูดคุยทำความรู้จักกันแล้ว ก่อนการพูดคุยเสร็จในวันนั้น ข้าพเจ้าได้บอกน้องนิวัฒน์จะติดต่อกลับไปน้องนิวัฒน์อีกครั้งในเย็นวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เพื่อสอบถามหลังจากไปเรียนวันแรก
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
๑๘.๑๕ น. ข้าพเจ้าโทรศัพท์หาน้องนิวัฒน์ เพื่อสอบถามเรื่องการเรียน หลังจากหยุดเรียนหลายวันช่วงระหว่างการตัดสินใจในแนวทางการศึกษาต่อช่วงที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า น้องนิวัฒน์เล่าว่า การไปเรียนวันแรกไม่พบปัญหาอุปสรรคใด ๆ ครูและเพื่อนก็ให้การต้องรับเช่นเดิม แต่ที่ต้องรีบคืองานค้างสะสมช่วงที่น้องไม่ได้มาเรียนตั้งแต่วันเปิดเรียนวันแรกที่ต้องตามสะสางงานที่ค้างอยู่ และพูดคุยกันในแผนอนาคตที่น้องอยากเรียนต่อหลังจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ น้องนิวัฒน์บอกว่าตนเองชอบด้านคอมพิวเตอร์ อยากเรียนต่อทางวิศวคอมพิวเตอร์ เพราะตนเองถนัดและสนใจเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องที่พักอาศัยก็ไม่มีปัญหา
ก่อนวางสาย ข้าพเจ้าได้กำชับกับน้องกรณีเกิดปัญหาไม่ว่ากรณีใดใดให้น้องติดต่อหาข้าพเจ้าหรือนางสาวสุรีย์ อุ่ยแม ทันทีอย่าด่วนตัดสินใจคนเดียวเด็ดขาด
๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
ประสานน้องนิวัฒน์เพื่อนัดหมายการเดินทางมาเข้าร่วมเวที " การวิจัยให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนชายแดนไทย - พม่า"
๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๖
น้องนิวัฒน์ เข้าร่วมเวที " การวิจัยให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนชายแดนไทย - พม่า" ซึ่งในเวทีนี้บทบาทสำคัญของน้องนิวัฒน์ ในฐานะกรณีศึกษากลุ่มเด็กผู้ด้อยโอกาสในชุมชนชายแดนไทย - พม่า ที่ยังไร้โอกาสและยังไม่มีรัฐใดรองรับ
การเดินทางมาร่วมเวทีพูดคุยในครั้งนี้ น้องนิวัฒน์ต้องผ่านด่านตรวจจำนวน 3 ด่าน และถูกเรียกตรวจฉี่ในด่านสุดท้ายก่อนเข้าตัวเมืองเชียงราย โชคยังดีที่น้องไม่โดนตรวจบัตรประจำตัวประชาชน เพราะน้องเองยังไม่มีบัตรยืนยันความเป็นตัวตนในรัฐใดให้ถือครอง มีเพียงใบรับรองผลการศึกษาจาก โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ เท่านั้นยที่น้องถือติดตัวมาระหว่างการเดินทางข้ามเขตอำเภอ และนี่คืออีกสิ่งสะท้อนที่สิทธิของคนเราโดนถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของกฎหมาย
๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖
นางสาวสุรีย์ อุ่ยแม นางสาวรัชนีวรรณ สุขรัตน์ และคณะทำงานโครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบด้วย อาจารย์พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร และ อาจารย์รัชนีกร ลาภวณิชชา นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเจ้าหน้าที่องค์กรเครือข่ายจากจังหวัดตาก และ อ.แม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางไปบ้านนานา เพื่อพบครูเหงา นายกรรจร เจียมรัมย์ ผู้ก่อตั้งบ้านนานา ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งพักพิงของเด็กเร่ร่อน ไม่จำกัดเชื้อชาติ สอนให้เด็กรู้จักการอยู่ในสังคมโดยพึ่งพาตนเองและสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้ รู้จักการปลูกผักปลูกหญ้าไว้กิน
ครูเหงาบอกว่า “ บางครั้ง คนเราก็มัวแต่มองอนาคตของตัวเอง ตั้งความหวังของตัวเองเอาไว้ เราก็คิดถึงแต่ตัวเอง จนลืมมองคนรอบข้างไป ” การพูดคุยเพียงระยะเวลาสั้นแต่ได้เปิดมุมมองใหม่ให้หลายๆคนได้มองเห็นสังคมมากขึ้น
๑๔.๓๐ น. พวกเราเดินทางไปเยี่ยมคณะครูผู้สอนและร่วมพูดคุยถึงประเด็นปัญหานักเรียนในโรงเรียนด้านสถานะบุคคลที่ยังมีตกค้างอีกหลายสิบคน ณ โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ ซึ่งน้องนิวัฒน์กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เราได้เข้าพบ อ.ดา ตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายอาคารสถานที่ อาจารย์สุชา มณีวรรณ ผู้รับผิดชอบดูแลในส่วนของงานทะเบียนนักเรียน
การพบปะพูดคุยประเด็นปัญหาของนักเรียนในโรงเรียนที่ยังมีปัญหาสถานะบุคคลและปัญหาของน้องนิวัฒน์ ซึ่งปัจจุบันน้องนิวัฒน์ยังไม่ได้รับบัตรประจำตัวนักเรียนที่ทางโรงเรียนออกให้ เราสอบถามในส่วนนี้ทางอาจารย์ที่รับผิดชอบแจ้งว่า บัตรนักเรียนกำลังดำเนินการและจะรีบแจกจ่ายถึงมือนักเรียนให้เร็วที่สุด และจะแก้ปัญหาโดยการทำบัตรนักเรียนชั่วคราวให้น้องนิวัฒน์ถือก่อนในระยะนี้จนกว่าบัตรนักเรียนตัวจริงจะแล้วเสร็จ
๒๙ มกราคม ๒๕๕๗
ข้าพเจ้า และนางสาวสุรีย์ อุ่ยแม เดินทางไปโรงเรียนแม่สายประสิทธิศาสตร์ เพื่อตามเรื่องบัตรนักเรียนให้น้องนิวัมน์หลังจากการเข้าไปพบปะพุดคุยกับทางโรงเรียนเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕ต ที่ผ่านมา โดยประสานผ่านทางอาจารย์สุชา มณีวรรณ ฝ่ายวิชาการโรงเรียน
จากการเข้าพบทางอาจารย์ได้เตรียมบัตรนักเรียนชั่วคราวไว้ให้น้องนิวัฒน์เพื่อใช้แทนบัตรจริงเป้นการชั่วคราวก่อน และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารย์เรื่องแนวทางการศึกาาต่อของนักเรียนในโรงเรียนและกลุ่มนักเรียนที่มีปัญหาสถานะบุคคล พร้อมทั้งขอข้อมูลนักเรียนไร้รัฐไร้สัญชาติในโรงเรียนเพื่อส่งต่อให้อาจารย์พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร คณะทำงานโครงการศึกษาวิจัยและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดตากและชุมชนกลุ่มจังหวัดชายแดนในประเทศไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
๑๓.๐๐ น. ข้าพเจ้าติดต่อเพื่อขอเอกสารมารดาของน้องนิวัฒน์ ทางน้องนิวัฒน์จะติดต่อทางบ้านเพื่อให้พ่อเลี้ยงนำเอกสารมาให้ที่ชายแดนไทย - พม่า จังหวัดท่าขี้เหล็ก ทางน้องนิวัฒน์เล่าว่าพ่อเลี้ยงติดต่อมาทางโทรศัพท์ให้น้องนิวัฒน์เตรียมตัวกลับไปสำรวจประชากรพม่าในวันที่ ๑๕ ถึง ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗ นี้
-- จบ --
ไม่มีความเห็น