เครื่องแบบนักศึกษากับการต่อสู้ทางแนวคิดและอุดมคติในสังคมไทย
ขอออกตัวก่อนว่าเนื้อหาของบทความดังต่อไปนี้เป็นเพียงความรู้ความเข้าใจและความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานชี้วัด ความถูกผิดได้แต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงการใช้สิทธิ์ที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยของตนในสังคมนี้เป็นฐานในการแสดงออกผ่านตัวอักษรเท่านั้น
เห็นข่าวการต่อต้านการสวมชุดนักศึกษาของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ทำให้นึกถึงคำกล่าวหนึ่งที่ว่า พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมาล้วนแล้วแต่มาจากความคิดภายในทั้งสิ้น และคำกล่าวของหลวงพ่อชา ที่ว่า จงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นพฤติกรรม จงระวังพฤติกรรม เพราะพฤติกรรมจะกลายเป็นนิสัย ฯลฯ สรุปว่าการแสดงออกทางพฤติกรรม ความคิด รสนิยม ความเชื่อ ต่างๆ ล้วนแล้วแต่มาจาก การชักใยจากอุดมการณ์หรือแนวคิด เบื้องลึก ที่ฝั่งรากอยู่ในใจคนเราและทำหน้าที่ กำหนดการแสดงออกทางพฤติกรรมของมนุษย์เรา
ในสังคมไทยไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน มีการต่อสู้ หั่นหันกันทางแนวคิดหรืออุดมการณ์ สอง แนวหลักๆ ได้แก่ แนวคิดประเพณีนิยมหรืออนุรักษ์นิยม กับ แนวคิดเสรีนิยม แนวคิดประเพณีนิยม(ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่า อนุรักษ์นิยม) เป็นแนวคิดที่ยึดโยงกับประวัติศาสตร์ของชาติให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมประเพณีโดยมีความเห็นต่อการนำแนวคิดเสรีนิยมว่าเป็นการทำลายรากฐานที่ดีงามของความเป็นไทย
ส่วนแนวคิดเสรีนิยม เป็นแนวความคิดที่ได้อิทธิพลจากตะวันตก โดยใช้เหตุผลและหลักการที่เป็นสากลเป็นหลัก มองว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมมีเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกันและให้ความเห็นที่สำคัญกับหลักการที่เป็นสากลดังกล่าวว่าไม่ได้ขึ้นหรือยึดโยงอยู่กับ วัฒนธรรม ประเพณี หรือ บริบทสังคมทางสังคม ใดๆ ดังความเห็นของ จอนห์ ล็อกนักคิดสายเสรีนิยม ว่า ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กันมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด ไม่มีใครแย่งชิงไปจากเราไปได้
สองแนวความคิดหลักนี้ เป็นแนวความคิดที่ ฝั่งรากลึกอยู่ในใจคนไทยและเป็นแนวคิดที่กำหนดพฤติกรรมของคนไทยมาโดยตลอด
การต่อต้านการสวมชุดนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นแนวความคิดจากฝ่ายเสรีนิยมที่มองว่าการสวมชุดนักศึกษานั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการยอมรับอำนาจเผด็จการ เนื่องจากมองว่าเป็นการบังคับและการสวมชุดนักศึกษาไม่ส่งผลใดๆต่อการเรียนรู้ อีกทั้งยังมองว่าผู้ที่บังคับให้แต่งชุดนักศึกษาไปเรียนนั้น เป็นการสำเร็จความใคร่ทางอำนาจของผู้ถือระเบียบอีกด้วย
ผู้เขียนได้โหลดระเบียบการแต่งกายของนักศึกษาซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและอีกแห่งเป็นข้อบังคับว่าด้วยระเบียบการแต่งกายจากมหาวิทยาลัยสองแห่งมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจและเทียบเคียงกัน
เป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า ภาพนักศึกษาในระเบียบการแต่งกายกับนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่เดินขวักไขว่ไปมา แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หรือ หน้ามือกับหลังเท้า ทีเดียว
ประเมินจากสายตาแล้วนักศึกษาที่ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบการแต่งกายของมหาวิทยาลัยของแต่ละแห่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับตัวเลขจากการประเมินจากสายตาแล้ว นักศึกษาที่ปฏิบัติผิดระเบียบน่าจะประมาณ 90 % เสียด้วยซ้ำ
คำถามมีอยู่ว่า ระเบียบการแต่งกายมีไว้เพื่อ ?
หรือจะให้ปฏิบัติดังคำพูดที่ว่า กฎมีไว้ให้แหก
ในทัศนะผู้เขียนมองเรื่องระเบียบการแต่งกายของนักศึกษาที่ตราขึ้นแล้วไม่สามารถบังคับใช้ได้ว่า เป็นการสนองอุดมคติของคนไทยในชนชั้นปกครองหรือกลุ่มที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม ที่อยากเห็นภาพนักศึกษาแต่งกายตามระเบียบที่ตนได้เขียนเอาไว้โดยใช้ข้ออ้างเรื่องระเบียบ แต่โลกแห่งความเป็นจริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ การไม่ยกเลิกระเบียบที่ไม่สามารถบังคับได้บ่งบอกถึงการสำเร็จความใคร่ทางอุดมคติของกลุ่มอนุรักษ์นิยม สนองอย่างไร ก็สนองในระเบียบ แม้ไม่ได้เห็นการแต่งกายที่ถูกระเบียบในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ก็สามารถเห็นได้ในโลกแห่งความฝัน ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ราชกิจนุเบกษา / ข้อบังคับ ว่าด้วยการแต่งกายของนักศึกษา
ไม่ผิดแปลกอะไรที่คนในสังคมจะมีแนวความคิดแบบประเพณีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมเพราะทุกสังคมล้วนแล้วแต่มีแนวคิดแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น จะแตกต่างกันก็เพียงแต่ “จำนวน” มากหรือน้อยเท่านั้น
ความผิดแปลกอยู่ตรงที่ การยัดเยีอด ความเป็นอนุรักษ์นิยมให้กับคนเห็นต่างในรูปแบบของการบังคับที่ออกเป็นกฎระเบียบ ซึ่งขัดกับแนวความคิดหลักของฝ่ายเสรีนิยมอย่างรุนแรง ที่มองว่าคนเราควรมีเสรีภาพในการจัดการกับชีวิตและร่างกายตนเอง
ผู้อ่านอาจจะมองว่าผู้เขียนว่าเห็นด้วยกับฝ่ายเสรีนิยมซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ปฏิเสธ แต่ผู้เขียนเองก็ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายเสรียมบางส่วน ในกรณีที่ นักศึกษาติดโปสเตอร์ ออกแบบการประท้วงมหาลัย เรื่องการสวมชุดนักศึกษา กรณี ธรรมศาสตร์
เนื่องจากผู้เขียนมองว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถเปิดพื้นที่ในการพูดคุยกันได้ รังแต่จะสร้างความร้าวฉานให้กับคนในองค์กร อีกทั้งยังขาดความเหมาะสมด้านสถานที่และตัวบุคคล เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยและผู้ออกแบบเป็นนักศึกษา นักศึกษาควรคำนึงถึงการกระทำที่อาจจะหลุดกรอบของความเป็น ปัญญาชน ของตนด้วย
และผู้เขียนเองอยากให้สังคม ยกเรื่องนี้เป็นหัวข้อในวงสนทนาทางสังคมเพื่อตกลง และหาทางออกให้กับข้อแตกต่างทางความคิดหรือแนวคิดในเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีผู้เห็นต่างมานานและขาดความชัดเจนในพูดคุยกัน อีกทั้งเป็นเรื่องที่อยู่ในแวดวงการศึกษาที่มีแนวปฏิบัติเหมือนกันทั้งประเทศ
สำหรับผู้เขียนเองเห็นว่า ควรเปิดเสรี ไปเลย ไหนๆก็จะเปิดเสรีทางการค้า ลดกำแพงภาษี กับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ที่รัฐบาลบอกนักบอกหนาว่าทุกคนจะได้ประโยชน์ แล้ว ให้สิทธิ์ในการเลือกและตัดสินใจ กับนักศึกษาไปเลยว่า จะแต่งหรือไม่แต่ง ไม่ควรกังวลจนเกินเหตุ เราต้องพร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลบอกเองมิใช่หรือ มาเลเซีย ยังนำการร้องเพลงชาติในร้องหนังของคนไทยไปทดลองใช้เพื่อปลูกฝั่งให้ประชาชนรักชาติเลย บอกถ้าดีทำต่อไม่ดียกเลิก กระทรวงศึกษา ลองผิดลองถูกมามาก จะลองอีกสักครั้งไม่เห็นเป็นรัยนี่
เรียนท่านประธานผ่านไปยังท่านสมาชิก ที่ชื่อว่า สังคมไทยว่าไม่ต้องแปลกใจที่ คุณการศึกษาไทยต่ำ แข่งขันกับสากลเค้าไม่ได้
เพราะเพียงแค่เรื่องเครื่องแบบยังตกลงกันไม่ได้ว่า จะเอาอย่างไร แล้วสังคมจะคาดหวังอนาคตที่สดใสจาก สถาบันที่ควบคุมดูแลการศึกษาระดับชาติได้ อย่างไร ?
วรารักษ์
วันหวยออก กันยา ๕๖
ไม่มีความเห็น