เวลานี้รู้สึกว่า R2R เป็นคำที่ติดกระแสไปแล้ว ใครไม่รู้จักก็คงจะต้องรีบๆ หน่อย เดี๋ยวจะว่าเชย
ถ้าคิดดูดีๆ R2R มีประโยชน์ไม่น้อย เพราะเป็นการทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหาหน่วยงานของท่านเอง ไม่ได้ทำงานวิจัยเพื่อหวังว่าจะให้คนอื่นนำไปใช้... ผมไม่ได้ว่าใคร....เพราะแม้แต่ผมเองเมื่อก่อนนี้ก็เป็นเช่นนั้น...
มันเป็นวงเวียนชีวิตของอาจารย์ที่ต้องทำตาม KPI (มีอาจารย์ท่านหนึ่งตั้งใจออกเสียงว่า “กะปิ” ประชดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) ของทางมหาวิทยาลัย
ใครทำงานวิจัยได้เยอะก็ได้คะแนนเยอะ (บางคนได้เงินเยอะด้วย)
แต่เชื่อเถอะ...ขนาดคนทำวิจัยเองยังไม่นำผลงานวิจัยของตัวเองไปใช้ แล้วมนุษย์ที่ไหนจะนำผลงานของท่านไปใช้...(นี่ก็ไม่ได้ว่าใครเหมือนกัน)
ว่าแล้วคณะแพทยศาสตร์ มข. ก็ตัดสินใจทำ R2R
เพราะจากข้อมูลผลงานวิจัยที่ผ่านมานั้นมีงานวิจัยมากมายที่ทำแล้วไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ (รายงานโดยคณะกรรมการ การนำผลงานไปใช้ประโยชน์ หรือ research result utilization, RRU โดยอาภาภรณ์ และคณะ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารคุณภาพ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น 2547; 5: 40-8.) (ไม่มี online)
อีกสาเหตุหนึ่งที่ผลักดันให้ต้องทำ R2R ก็เพราะว่าทางมหาวิทยาลัย (เจ้าของทุน) เริ่มถามหา KPI (KPI อีกแล้ว) ว่าผู้รับทุนได้นำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อะไรบ้าง
ซึ่งจากการทำ QA ในทุกปีจะได้คำตอบมากมาย (มากกว่าที่นำไปใช้จริงเสียอีก แต่ประเมินผลได้ไม่ชัดเจน จึงยกประโยชน์ให้จำเลยไป)
คณะแพทย์ เริ่มคิดทำ R2R ในปี 2548 แต่ใช้ชื่อว่า outcome research
แต่เมื่อประกาศให้ทุนไป กลับพบว่า proposal ที่ส่งมาขอทุนนั้นมีหลากหลายมากและไม่ค่อยตรงวัตถุประสงค์มากนัก แต่ในที่สุดคณะกรรมการก็ต้องพิจารณาให้ทุนไปตามเกณฑ์
ในปี 2549 ได้ปรับปรุงวิธีการให้ทุนใหม่ โดยตั้งคณะกรรมการ R2R ขึ้นมาก่อน (มีผมเป็นกรรมการด้วย) พร้อมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบการให้ทุนด้วย
โดยให้แต่ละ clinical lead team (มี 12 CLT) เป็นผู้ส่งขอทุน โดยให้ CLT ละหนึ่งโครงการ (ส่งมากกว่าหนึ่งโครงการได้แต่ไม่ให้เกินวงเงินหนึ่งแสนบาท)
โดยคณะกรรมการจัดเวทีให้นำเสนอ concept paper ก่อน เมื่อผ่านการพิจารณาแล้วจึงไปปรับปรุงเป็น full proposal ต่อไป
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยของคณะฯ ได้จัดที่ปรึกษาในการเขียน proposal ให้ CLT ละหนึ่งคน (มีค่าที่ปรึกษาด้วย) ในครั้งแรกที่นำเสนอ concept paper นั้น มีส่งมาประมาณ 18 เรื่อง แต่ก็ค่อยๆ ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากไม่ตรงกับเกณฑ์ที่กำหนด และกว่าจะได้เป็น full proposal ก็ต้องจัดเวทีพิจารณาหลายครั้งเหมือนกัน สุดท้ายเหลือที่ขอรับทุนไป 7 โครงการ (หนึ่งในนี้มีเรื่องการระงับปวดด้วย)
ในการพิจารณา concept paper นั้นมีเรื่องราวมากพอสมควร เช่น มีการต่อว่ากรรมการว่าไม่ตั้งใจสนับสนุนให้ทำวิจัยอย่างจริงจัง ทำให้บางโครงการต้องยกเลิกไป.....
แต่กรรมการก็ยืนยันในหลักการคือ งานวิจัยต้องนำไปใช้ในหน่วยงานหรือพัฒนาหน่วยงานได้จริง จึงจะเรียกว่า “R2R”
ซึ่งต้องติดตามดูต่อไป
ซึ่งเรื่องนี้ ท่านผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย จะรับไปประสานงานต่อไป