มอบใจให้สุข
สังคมที่เราอยู่อาศัยกันในทุกวันนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายต่างๆมากมาย จิตใจของคนเรามีความเห็นเเก่ตัวมากยิ่งขึ้นจากอดีตที่เราเคยมีน้ำใจให้กัน เห็นใจซึ่งกันเเละกัน ยอมรับซึ่งกันเเละกัน มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ฯ สิ่งเดิมๆทั้งหลายทั้งมวลนี้กับหายไปในชีวิตของเราตั้งเเต่เมื่อไหร่ เเต่ก่อนเราเคยผูกพันธ์กับสิ่งนั้นเเต่เดี๋ยวนี้เราห่างเหินจนอาจลืมเลือนความเป็นตัวตนของตนเอง "เเล้วทำไมล่ะ" ซึ่งคำตอบที่ได้อาจมีหลายอย่างหลายปัจจัยมารวมกัน จากเดิมที่อยู่ด้วยกันกับพ่อเเม่ เเต่เดี๋ยวนี้พ่อ เเม่ เเละ ลูกแทบไม่มีเวลาได้พูดคุยกัน ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเป็นยเพราะค่านิยมที่เปลี่ยนเเปลงไปในทุกขณะที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ "เพราะเราเป็นเพียงคนธรรมดา" เราไม่สามารถหยุดเวลาได้ "เเต่ก่อนเราไปมาหาสู่กันตามบ้านเรือน" เเต่เดี๋ยวนี้สร้างกำแพงปิดกั้นจนมองไม่เห็นบ้านข้างเคียงเเทบหลังคา หรือในชุมชนเมืองที่ในบางครั้งอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านข้างเคียงของเรานั้น คือใคร จากหลายเหตุหลายปัจจัยต่างๆนานาจึงเป็นสิ่งที่คอยบีบสังคมที่เราอยู่ให้เเคบลงเรื่อยๆ เเคบลงเรื่อยๆ ใช้เวลาพูดคุยกับคนในครอบครัวเพียงไม่กี่ประโยค อยู่ในสังคมของงาน งาน เเละงาน ทำให้ผลกระทบทางด้านเสียเกิดขึ้นมามากมาย อาทิ ลูกขาดความอบอุ่นครอบครัว สัมพันธภาพระหว่างคนในชุมชน ทัศนคติเเคบลงในทุกขณะ
สังคมใดใด ก็ตามที่จะสามารถยืนหยัดอยู่อย่างสันติสุขได้ จะต้องมีผู้คนส่วนหนึ่งที่เสียสละ หรือจิตอาสา การเสียสละนี้คุณธรรมอีกข้อ เป็นหลักคิดอีกข้อที่จะทำให้ ครอบครัว ชุมชน สังคม เเละประเทศชาติ อยู่อย่างร่มเย็น ถ้าทุกคนยอมรับซึ่งกันเเละกัน ถ้าทุกคนเข้ามาปรับตัวซึ่งกันเเละกันย่อมส่งผลทำให้สังคมอยู่ต่อไปได้อย่างร่มเย็น "ผู้คิดอย่างนี้เป็นส่วนใหญ่ เราเองคิดอย่างนี้" เราก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของส่วนใหญ่ เพราะนั่น คือ คนส่วนใหญ่ เป็นเเนวคิดที่เป็น "สากล" ให้คิดอยู่เสมอว่า ในการทำสิ่งใดใดนั้น เราสามารถทำเองได้ก็จริงอยู่ เเต่ถ้าเราทำงานคนเดียวนั้น โอกาสที่เราจะพลาดนั้นมีสูงที่สุด ฉะนั้นคุณภาพของงานที่ออกมาจึงเป็นงานที่ "มีพลังน้อย" ที่ขาดการมีส่วนร่วมของทุกๆคน เเต่ถ้าหากเราทำงานเป็นกลุ่มก้อนเเล้ว "เราย่อมจะมีพลังมากจากการมีส่วนร่วมของทุกๆคน" การเสียสละเป็นสิ่งสำคัญ เเละเป็นสิ่งที่สังคมใดใด ไม่สามารถขาดได้ ดังที่ในหลวงมีพระราชดำรัชไว้ คือ "ควรปิดทองหลังพระ" "เเต่ทำไมเราต้องปิดทองหลังพระด้วยล่ะ เเล้วทำไมเราต้องเสียสละด้วยล่ะ" การเสียสละจะทำให้สังคมร่มเย็นจะทำให้ผู้อื่นเขามีความร่มเย็น ถ้ามีใครคนหนึ่งเข้ามาไตร่ถามธีระฯ ว่า ทำไมต้องเป็นเราที่เสียสละ ในสังคมมีคนอื่นๆอีกเยอะเเยะมากมาย ธีระฯ ก็คงจะบอกได้เพียงว่า "ลองดูสังคมสิทุกวันนี้เป็นอย่างไร ถ้าเราไม่รู่จักเสียสละเสียบ้างเเล้วสังคมจะเป็นอย่างไร" ซึ่งข้อคำถามนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับความคิด ขึ้นอยู่กับจิตที่ถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดีของเเต่ละคน...สิ่งสำคัญ คือ การให้ การเสียสละ การอาสา "ลองหันกลับมาถามตัวเองว่า ตอนนี้เราให้เเล้วหรือยัง เราเสียสละเเล้วหรือยัง เราอาสาเเล้วหรือยัง" สังคมไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เเล้วหนึ่งในนั้นสังคมนี้เป็นของเราทุกคนที่จะร่วมด้วยช่วยกันดูเเล จากการมีน้ำใจให้กันบ้าง เสียสละให้กันบ้าง ดังที่เราเห็นในสังคมอยู่ในทุกๆวันว่าทุกวันนี้ผู้คนรอบตัวมีความเห็นเเก่ตัวสูงขึ้นในทุกขณะ ความคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ก็น้อยลงในทุกขณะ จากที่เคยลุกจากที่นั่งให้คนชรานั่งรถประจำทางกลับนิ่งเฉยอย่างเด่นชัด จากเดิมที่เราเคยให้กันเเละกันกลับไม่ให้ ถ้าสังคมไทยเราให้กัน เสียสละให้กัน การเมืองเราคงไม่วุ่นวายเพียงเช่นนี้ "ถ้าให้เเล้วไม่สบายใจ" ถ้าให้เเล้วไม่สบายใจก็เก็บสิ่งนั้นไว้ก่อน เก็บไว้รอวันที่เราสบายใจเเล้ว หรือเราพร้อมเเล้วค่อยให้ "ถ้าให้เเล้วสบายใจ" นั่นล่ะที่เรียกว่าการให้ โดยตนเองเป็นผู้เสียสละเเล้ว ให้เเล้ว ทำให้ผู้อื่นสุขใจขึ้นไปอีก เเล้วเมื่อผู้อื่นสุขใจจากการที่เราให้เเล้วนั้น ในอีกมุมความคิดเล็กๆ เขาจะคิดว่า "เมื่อเขาได้ให้กับเรา เราก็จะให้คนอื่นๆต่อไป" โดยที่ข้าพเองมีความเชื่อเสมอว่า การให้นั้นถ้าเราให้เขาไปเเล้ว สักวันหนึ่งเมื่อเขาย้อนนึกได้ เขาก็จะให้เช่นเดียวกับเรา จนเกิดเป็นเหมือนห่วงโห่ของการให้ที่คล้องกันไปอย่างไม่สิ้นสุด... การให้ การเสียสละ การอาสา นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ ลองให้คนอื่นๆสักครั้ง ลองเสียสละให้คนอื่นสักครัง ลองอาสาทำสิ่งที่ไม่ค่อยมีคนทำที่เป็นการกระทำที่ดี สักครั้ง ซึ่งการให้นั้น เราไม่ได้เสียหายเเต่ประการใด "การให้ไม่ต้องคำนึกถึงยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ต้องคำนึกถึงชนชั้นอันจอมปลอม ไม่ต้องคำนึงถึงเกียรติเเละศักดิ์ศรีของตนเอง ไม่ต้องคำนึงถึงการนึกเสียดายกับสิ่งที่ให้ไป" การให้ในสิ่งที่ควรจะให้ ให้ในตามศักยภาพที่เรามี ให้ตามความพึงพอใจโดยไม่เห็นเเก่ตัว เมื่อให้เเล้วอย่าเคร่งกับการคิกเสียดายกับสิ่งที่ให้ไป...เเต่จงให้ด้วยใจที่จะให้ เสียสละด้วยใจ ยอมรับด้วยใจ ให้ทุกสิ่งออกมาจากใจเเล้วการให้นั้นย่อมจะเกิดห่วงโซ่ที่เเข็งเเรง การให้นั้นเราทุกคนฝึกกันได้ ถ้าในยามที่เราไม่สบายใจหรือทุกข์ใจในครั้งใดใด ลองให้ ลองเสียสละ ลองอาสาดูสักครั้ง เพราะผลจากการให้นี้จะสามารถช่วยคุณได้ ทำให้คุณสบายใจได้ กับเรื่องราวในชีวิต ถามตนเองว่า "ตอนนี้เราให้เเล้วหรือยัง เราเสียสละเเล้วหรือยัง เราอาสาเเล้วหรือยัง เรายอมรับผู้อื่นเเล้วหรือยัง เรามีน้ำใจให้ใครเเล้วหรือยัง" ลองถามตนเองอยู่เสมอ ลองพูดกับตนเองอยู่เสมอ ลองให้อยู่เสมอ....
เเต่ในเมื่อเราให้ผู้อื่นๆไปมากเเล้ว สิ่งสำคัญที่เราควรจะให้ คือ การให้ตนเองเสียบ้าง ให้เวลาตนเองเสียบ้าง ให้ตนเองสบายใจเสียบ้าง ให้สอนตัวเองเสียบ้าง เมื่อให้เขาอื่นใดเเล้วอย่างลืมให้กับตนเอง ให้กับสิ่งที่ตนเองจะมีความสุข เเละให้กับสิ่งที่จะทำให้ผู้อื่นๆมีความสุข เมื่อให้เเล้วตนเองมีความสุขเเละผู้อื่นๆมีความสุข นั่นล่ะเป็นการให้ที่สำคัญที่จะทำให้สังคมเราร่มเย็นสบายใจ...
ชอบภาพประกอบนี้จังเลยครับ เห็นแล้วโลกนี้ช่างน่ารัก น่าอยู่จริงๆ
หม่ำๆมั่ง...หม่ำๆมั่ง.
ชอบบันทึกนี้ด้วย ขอบคุณมากครับ