นายสายหมอก
นาย เฉลิมเกียรติ สายหมอก ตะดวงดี

ครอบครัวข้ามชาติในตวรรษที่ 21 The Transnational Family ตอนที่ 2 Deborah Fahy Bryceson และ Ulla Vuorela


ครอบครัวข้ามชาติในตวรรษที่ 21 The Transnational Family ตอนที่ 2

Deborah Fahy Bryceson และ Ulla Vuorela 

 

ตำนานรัฐชาติและครอบครัวข้ามชาติ

ในความแตกต่างครอบครัวข้ามชาติมีความรู้สึกต่อชาติและความจงรักภักดีหรือไม่ คำถามนี้ปรากฏอย่างมากในงานเขียนระดับชาติทั้งจากทัศนะคติที่เกี่ยวกับความสอดคล้องระดับชาติตลอดจนการพุ่งเป้าไปที่ประเด็นทีเชื่อมโยงกับสวัสดิการของครอบครัวสมัยใหม่ บนมือข้างหนึ่งครอบครัวข้ามชาติถูกเห็นการคุมคามซึ่งล้มล้างรัฐชาติที่อยู่ติดกันและอีกในแง่มุมหนึ่ง การกระจายของครอบครัวร่วมมือกับการต่อสู้ระดับชาติ ตลาดแรงงานและปรากฏการณ์ของโลกต่างๆ เห็นได้จากการบีบบังคับครอบครัวและสวัสดิการของสมาชิกแต่ละบุคคลในครอบครัวที่ซึ่งจะถูกปฏิเสธในเรื่องของความมั่นคงบ่อยครั้งจากชุมชนที่อยู่รอดจากความสัมพันธ์ที่ห่วงใยผู้อื่น

ในมานุษยวิทยาได้มีประเพณีที่ยาวนานที่เห็นกับครอบครัวและรัฐชาติที่มีโครงสร้างคล้ายกัน ในความเป็นจริง การศึกษาเผ่าพันธุ์ถูกพูดกระตุ้นเป็นส่วนใหญ่จากสมมติฐานว่าความสัมพันธ์ทางสังคมกับรัฐชาติสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์และโครงสร้างของครอบครัว Coward (1983) .ให้เหตุผลว่าแนวคิดของหัวหน้ารอบครัวผู้ชายสามารถโยงไปถึงบางขอบเขตถึงผู้มีอำนาจเพื่อบังเกิดทั้งครอบครัว/ครัวเรือนและชาติในการเปรียบเทียบภาพของการเอาใจใส่ผู้อื่น เธอนำเสนอการศึกษาที่สมบูรณ์มากในมานุษยวิทยา/สังคมวิทยามีความสัมพันธ์กันแหล่งกำเนิดหรือต้นตระกูลผู้อำนาจที่เป็นต้นแบบของโครงสร้างผู้มีอำนาจในรัฐสามารถเห็นได้จากการเพิ่มจำนวนของสิ่งที่เกี่ยวข้องและชนิดของวัฒนธรรมต้นกำเนิดการคิดของชาวยุโรป หน่วยของครอบครัวที่ครอบคลุมมารดา และเด็กๆ ภายใต้ผู้มีอำนาจและการปกป้องจากพ่อเห็นได้จากการแผ่ขยายและการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของเด็กที่แต่งงานและสร้างครอบครัวใหม่ การแยกออกมายังคงอยู่ภายใต้ผู้มรอำนาจของเขา ครอบครัวที่ให้กำเนิดลูกชายในภาพของแบบเดิมๆ ถูกเชื่อมโยงโดยผู้ร่วมสายเลือด ใครที่ได้อาศัยอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจจากต้นตระกูลเดียวกันของพวกเขา ในศตวรรษที่ 19 ทฤษฎีนี้ได้เสนอการอธิบายสำหรับการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มที่กว้างขึ้นและสังคมของตัวมันเอง และในที่สุดทำให้เกิดต้นตระกูลของชาติโดยสายเลือด

Maine (1861) ได้มีการกระตุ้นแนวคิดว่าสังคมง่ายๆ ทำให้เห็นถึงการขยายตัวทางชีวิทยาซึ่งเป็นรากฐานของครอบครัวระยะแรกโดยการเสนอว่าครอบครัวระยะแรกไม่ได้ตั้งอยู่บนธรรมชาติที่ถูกต้องของต้นกำเนิดแรกแต่ในการส่งผ่านการทำงานร่วมกันจากกำลังของผู้อาวุโสและผู้มีอิทธิพล patria Potestas. Maine ได้พิจารณาว่าผู้มีอิทธิพลของต้นตระกูลและสิ่งที่จำกัดขอบเขตไว้ของครองครัวนั้นไม่มีกฎเกณฑ์และครอบครัวสามารถไม่ลังเลที่จะให้ทำงานหนักและถูกเลือกเป็นตัวแทนตลอดจนตัดผู้หญิงคนที่ไม่มีความสัมพันธ์โดยสายเลือดออกไป Maine ผู้ซึ่งมีความสนใจในการให้เหตุผลกับรากฐานที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของเผ่าพันธุ์ การให้เหตุผลว่าครอบครัวไม่ได้เป็นหน่วยทางชีวภาพ per se แต่เป็นหน่วยที่ทำให้เกิดเครื่องเล่าของเอกภาพทางชีวภาพ หรืออาจเรียกว่า การก่อสร้างทางสังคม แนวความคิดของ Maine จากต้นตระกูลของครอบครัวที่ถือสิทธิครอบครองหน่วยและระบบที่ได้รับจากรัฐบาลมากกว่าการสนใจครอบครัวที่ก่อสร้างครอบครัว แต่เสียงสะท้อนได้รับมาจนทุกวันนี้

เช่นเดียวกับ Anderson (1985) โต้แย้งว่าอย่างไรก็ตามความโน้มเอียงของผู้คนที่แปลงสัญชาติที่เป็นสัญชาติของพวกเขาและปัญหาความเป็นพลเมือง นี่ไม่เป็นธรรมชาติ ความจริง แต่ถูกจินตนาการขึ้น กรณีศึกษาในความสนใจทีดึงดูดให้เปรียบเทียบกับจินตนาการของครอบครัว ครอบครัวลักษณะของเชื้อชาติที่ต่างกันหรือเหมือนกันและชาติสามารถถูกทำให้เห็นซึ่งจินตนาการการสื่อสาร สิ่งหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นภายในครอบครัวและชาติหนึ่งๆ แต่ความรู้สึกของการเป็นสมาชิกสามารถเป็นการเลือกและการเจรจาต่อรอง  1 คน สามารถเปลี่ยนได้ 1 สัญชาติและพลเมือง เพียงแค่ 1 ชาติ 1 ครอบครัวและเป็นสมาชิกในกิจวัตรของทุกๆวัน การรวมของการถูกกระจายสมาชิกภายในครอบครัวถูกยืนยันและทำใหม่ผ่านการโต้เถียงที่หลากหลายและการติดต่อ

ครอบครัวถูกสังคมจินตนาการ มันยังคงไม่ยากที่จะแก้ปัญหา เมื่อครอบครัวนั้นถูกเอาไปเปรียบเทียบและอุปมาสำคัญสำหรับชาติ และสันนิษฐานให้ว่าเป็นธรรมชาติของสังคม ชาติและครอบครัวนั้นสามารถเห็นความเป็นมาได้ทั้งจินตนาการและความจริง ตรรกะภายในของครอบครัวที่ถูกจินตนาการแตกต่างกันไป มานุษยวิทยาได้จัดทำเป็นเอกสารรูแบบการแต่งงานที่หลากหลายของครอบครัวทั่วโลก ในยุโรป มีโครงสร้างของครอบครัวซึ่งเท่าเทียมและประสบความสำเร็จในการจัดระบบตามลำดับขั้นที่แตกต่างกันในเรื่องเส้นทางของรากฐาน (Todd 1990) มากไปกว่านั้น ในความเป็นจริงที่เราต้องทำ หากเราคิดว่า เราไม่สามารถเลือกความสัมพันธ์ของเรา การพิจารณาสมาชิกในครอบครัวกับบุคคลที่ซึ่งมีปฏิกิริยาต่อกันจริงๆสักคนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

การจินตนาการการให้ความหมายของครอบครัว บทนิยามที่ชัดเจนว่าจะไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำจำกัดความสถานะทางสัญชาติของครอบครัวอพยพถิ่นฐานอย่างถูกกฎหมาย มีการกล่าวปราศรัยครั้งใหญ่ในเรื่องนโยบายการอพยพถิ่นฐานในการสร้างความคิดที่แตกต่างของครอบครัว Mohanty (1991) ยกตัวอย่าง มีการชี้ทางของชนชาติอังกฤษและกำหนดกฎหมายการอพยพอย่างต่อเนื่องและการสร้างความเป็นพลเมืองอย่างถูกกฎหมายซึ่งคงอยู่ในความแตกต่างทางเชื้อชาติและเพศที่สาม ปี 1968 กฎหมายการอพยพถิ่นฐานของประเทศที่ปกครองตนเองมีการกระจายในยังชาวผิวดำ และผู้อพยพถิ่นฐานผู้หญิงใน สหราชอาณาจักรที่เป็นผู้ทำงาน ผู้หญิงถูกบังคับให้ออกจากเบื้อหลังครอบครัวของพวกเขา ภรรยาถูกทึกทักให้อยู่ในที่ที่สามารถของพวกเขาอยู่และพึ่งพาอาศัยพวกเขา ในขณะที่ผู้เป็นแม่ ฝึกที่จะเลี้ยงลูกคนเดียว พวกเขามีความยากลำบากที่จะนำลูกๆ มาที่อังกฤษเพื่ออยู่ด้วย การเปลี่ยนการออกกฎหมายการอพยพถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องนั้น ได้ให้นิยามรัฐชาติจากสถานะในการออกกฎหมายของชนพื้นเหมืองและความสัมพันธ์จากครอบครัวของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ สถานะและบุคคลธรรมดาจะร่วมกันเลือก สถานะสามารถเป็นตัวเลือกหรือปฏิเสธคำร้องขอสำหรับพลเมือง เพียงแค่ลอยแพแต่ละบุคคล เสาะหาหรือรวมความแตกต่างของความเป็นพลเมือง ตัวเลือกเป็นสองเส้นทางแต่บททดสอบของตัวเลือกนั้นไม่มีความสมดุลระหว่างสถานะและความเป็นตัวของบุคคลแต่ละบุคคล และกำลังที่จะเลือกมีความต่างกันอย่างมากในระหว่างตัวบุคคล ความแตกต่างระหว่างผู้อพยพและบุคคลที่เดินทางข้ามชาติไปทั่วโลกนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทน ผู้อพยพเลิกรอและใส่ใจกับที่อยู่อาศัยของพวกเขาและการเป็นพลเมือง ปราศจากกาศึกษาที่สูงและต้นทุนทักษะบุคคลที่เดินทางข้ามชาติไปทั่วโลกนั้นเป็นสิ่งที่ต้นกระตือรือร้นเสาะหา และสิทธิพิเศษในที่พักอาศัยหรือการติดตามให้เป็นพลเมืองอย่างรวดเร็ว

เมื่อการตรวจสอบครอบครัวข้ามชาติ vis-à-vis สถานะเป็นชาวยุโรป การทอดเสมอทางการเมืองถูกยื่นที่ระดับตัวแทนของแต่ละบุคคล แต่ละคนเสี่ยงอันตรายในการเสาะหาการออกกฎหมายและหรือความเป็นพลเมืองที่ถูกต้อง และหากประสบความสำเร็จ พวกเขาจะปลอมฐานะได้ง่ายกว่าของการเข้าไปอยู่ในสมาชิกของครอบครัวอื่น แต่อย่างไรก็ตามมีสมาชิกของนโยบายอุปสรรคใหม่ถูกบีบบังคับที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ และยกเลิกอันเก่า ในกระบวนการ ยุโรปแสดงให้เห็นที่ที่ซึ่งแบ่งระหว่างคนที่เคลื่อนย้ายสะดวกและใครที่มีแนวโน้มว่าจะไม่เคลื่อนย้ายไปไหน (Bauman 1998)

 

 

หมายเลขบันทึก: 549143เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2013 11:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน 2013 11:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท