บทความ เรื่อง
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น
โดยใช้กระบวนการ Active Learning
สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การศึกษาเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประชากรของประเทศ หากประชากรมีการศึกษาดี มีคุณภาพก็จะส่งผลให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ดังนั้น การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาประชากรให้มีคุณลักษะที่พึงประสงค์จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ มีกลไกการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง จนเปิดเผยผลการดำเนินงานต่อสาธารณชน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ปกครอง ชุมชน สังคมได้(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2553 : 11) และต้องจัดการศึกษาให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 49 ซึ่งได้บัญญัติ ไว้ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการ หรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ต้องได้รับสิทธิและสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาเท่าเทียมกับบุคคลอื่น(กระทรวงศึกษาธิการ,2550 : 19-20) เช่นเดียวกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 7 ได้บัญญัติว่า การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคล มีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี และรัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และในมาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ และมาตรา 23 บัญญัติว่าการจัดการศึกษาต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา และมาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพส่งเสริมผู้สอนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน(สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ,2542 : 7-29) และกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดนโยบายการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2552 – 2561) ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ” โดยประเด็นหลักของเป้าหมายปฏิรูปการศึกษามี 3 ประเด็น คือ การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและการเรียนรู้ของคนไทย เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนในการบริหารและจัดการศึกษา ทั้งนี้ ได้กำหนดกรอบแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้อย่างเป็นระบบไว้ 4 ประการ คือ การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ การพัฒนาครูยุคใหม่ การพัฒนาสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และการพัฒนาการบริหารจัดการใหม่ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553:15) จากสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และนโยบายกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าว ได้นำไปสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการศึกษาในการพัฒนาศักยภาพของคนที่จะให้เรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ตลอดชีวิต
2
โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านคุณลักษณะ รู้จักคิดวิเคราะห์ รู้จัก การแก้ปัญหา มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ สามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ เป็นการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้ คุณธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553 : 12)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสิบสองปี จึงจำเป็นต้องดำเนินการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพเพื่อสนองตอบบทบัญญัติ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และนโยบายการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 32,879 โรงเรียน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนลงมา จำนวน13,882 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 43.73 ของจำนวนโรงเรียนทั้งหมด และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี อันเป็นผลมาจากอัตราการเกิดลดลง และความนิยมของผู้ปกครองที่ต้องการส่งบุตรหลานไปโรงเรียนในเมือง ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมาก มีนักเรียนตั้งแต่ 60 คนลงมา จำนวน 1,966 แห่ง ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ ส่วนใหญ่ มีปัญหาในด้านคุณภาพค่อนข้างต่ำ และขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ กล่าวคือ มีการลงทุนค่อนข้างสูง เช่น อัตราส่วนครู : นักเรียน ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ตามมาตรฐานที่กำหนดคือ 1 : 25 แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก อัตราครู : นักเรียน เท่ากับ 1 : 8–10 เท่านั้น (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555: 4-6 ) ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้จัดทำโครงการยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กดังกล่าว โดยได้นำเสนอรูปแบบการบริหารและการจัดการโรงเรียนขนาดเล็กไว้ ในหลายรูปแบบ เช่น การใช้โรงเรียนตั้งศูนย์ โรงเรียนเฉพาะช่วงชั้น โรงเรียนเรียนรวมกับโรงเรียนหลัก โรงเรียนสอนตามปกติ และหน่วยคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ (Mobile Teacher)รวมทั้งการนำเสนอแนวทางสร้างความเข้มแข็งและยกระดับคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก ไว้อีก คือ การประสานเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม การใช้ Office Station การให้ค่าตอบแทนครูผู้สอนที่ไปช่วยสอนโรงเรียนขนาดเล็ก การจัดทำเกณฑ์อัตรากำลังครูโรงเรียนขนาดเล็ก และการรวม/เลิกโรงเรียนขนาดเล็ก(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555 : 7-15)
อนึ่ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 มีโรงเรียนในสังกัด ของรัฐจำนวน 128 โรงเรียน ในจำนวนนี้มีโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนลงมา ในปีงบประมาณ 2556 มีจำนวน 78 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 60.94 ของโรงเรียนทั้งหมด มีจำนวนนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก รวมทั้งสิ้น 3,196 คน ครู 327 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2556) สัดส่วนจำนวนโรงเรียน ต่อนักเรียนคิดเป็น 1 : 41 จำนวนนักเรียนต่อชั้นเรียนคิดเป็น 1 :6 และสัดส่วนจำนวนครู
3
ต่อนักเรียนคิดเป็น 1 : 9 จำนวนโรงเรียนเหล่านี้เมื่อพิจารณาโดยใช้นักเรียนเป็นเกณฑ์ตามเกณฑ์ ก.ค. พบว่า มีจำนวนโรงเรียนที่มีครูพอดีเกณฑ์ จำนวน 40 โรงเรียน ครูเกินเกณฑ์จำนวน 30 โรงเรียน และครูต่ำกว่าเกณฑ์ จำนวน 9 โรงเรียน แต่เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงจะต้องมีครูสอนห้องเรียนละ1 คนแต่ละโรงเรียนจึงควรมีครู 7- 8 คน จะพบว่ามีครูไม่ครบชั้นถึง 30 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 38.46 (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1, 2556 : 4-6) โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ประสบปัญหาสำคัญ ๆ คือ ปัจจัยที่เป็นตัวป้อนมีไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพ รวมทั้งมีปัญหาในด้านประสิทธิภาพในกระบวนการบริหารจัดการและกระบวนการจัดการเรียนรู้ ส่งผลให้ผู้เรียน มีระดับคุณภาพค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ ประกอบกับได้พิจารณาจากข้อมูลการนิเทศการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก พบว่า โรงเรียนขนาดเล็กส่วนใหญ่ มีปัญหาที่สำคัญและเร่งด่วน ที่ควรได้รับการแก้ไข (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1, 2556:15-20) เรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้
1. ปัญหาด้านคุณภาพผู้เรียน จากผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (National Educational Test=O-NET) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละต่ำโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่
2. ปัญหาด้านกระบวนการบริหารจัดการและการจัดการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริหารงานวิชาการ พบว่า ปัญหาสำคัญและควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การนำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานไปใช้ การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้และการบูรณาการ การวัดผลและประเมินผล การใช้เทคโนโลยี และสื่อการเรียนรู้ และห้องสมุดโรงเรียน
3. ปัญหาด้านงบประมาณเพื่อการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ เป็นเรื่องงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนที่ไม่เพียงพอ การขาดแคลน วัสดุครุภัณฑ์ เพื่อใช้สนับสนุน การสนับสนุนการเรียนการสอน
4. ปัญหาด้านปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา ได้แก่การขาดแคลน ห้องเรียน อาคารเรียน ขาดเครื่องมือการสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต
5. ปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังครู ทำให้มีครูไม่ครบชั้น เนื่องจากเกณฑ์การจัดสรรอัตรากำลังครูนั้นใช้จำนวนนักเรียนเป็นเกณฑ์ในการจัดสรร และอัตราครูที่มีก็สอนไม่ตรงวิชาเอก
อีกทั้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 ได้ตระหนักในปัญหาและเห็นความสำคัญของการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีนักเรียน 60 คนลงมา และมีครูไม่ครบชั้นเรียน ดังกล่าว จึงมีความสนใจที่จะศึกษากระบวนการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ รวมทั้งสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ในบริบทสภาพของโรงเรียนขนาดเล็ก ที่อยู่บนพื้นฐานของความขาดแคลนและเอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างมีคุณภาพ ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ส่วนใหญ่ใช้วิธีการสอนสลับห้องเรียน
4
โดยใช้ครูผู้สอนคนเดียว หรือใช้วิธีการนำนักเรียนที่อยู่ในคนละระดับชั้นมาเรียนรวมกัน โดยไม่มีหลักการและมาตรฐานที่ชัดเจน จึงส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนซึ่งส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ จึงเห็นว่าควรจะมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในการดำเนินการที่จัดเจน และสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ทั้งนี้ครูผู้สอนขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ อีกทั้งโรงเรียนขาดสื่อ อุปกรณ์ กิจกรรม วิธีการ ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ด้วย(สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1, 2555:12) จึงเป็นเหตุผลประการสำคัญ ที่ผู้วิจัย ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาการเรียนรู้ในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นตามแนวทางการจัดการเรียน การสอนแบบรวมชั้นเรียน ที่สอดคล้องกับนโยบายการยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2553 : 13)
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น เป็นวิธีการหนึ่งในการจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก มีลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ คือ 1) เป็นการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2) เป็นการแก้ปัญหาครูไม่ครบชั้นโดยจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ หนึ่งๆ ให้นักเรียน ต่างระดับชั้น ในช่วงชั้นเดียวกัน สามารถเรียนร่วมกันได้ในห้องเรียนเดียวกัน ภายใต้การดูแลของครูผู้สอน โดยเน้นการจัดการเรียนรู้ ตามระดับพัฒนาการของผู้เรียน เป็นช่วงชั้น ตามโครงสร้างของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คือ ช่วงชั้นที่ 1 ประกอบด้วยนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ช่วงชั้นที่ 2 ประกอบด้วยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 เพื่อให้นักเรียนในแต่ละช่วงชั้นที่มีวัยใกล้เคียงกันสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้ ประกอบกับการจัดการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กจะต้องมีกระบวนการจัด การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน ให้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา ร่วมสร้างองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้ ดังนั้น การใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Leaning ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายโดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน เกิดความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างหลากหลายร่วมกันกับเพื่อน ๆ จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถใช้บูรณาการกับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้นได้
จากเหตุผลดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายและมีวิธีการส่งเสริมพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างหลากหลายแต่ที่ผ่านมายังไม่ประสบผลสำเร็จและยังไม่บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็ยังมีแนวทางอีกหลายแนวทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กได้ ดังนั้น รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้นโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาครูไม่ครบชั้นและยกระดับคุณภาพของผู้เรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก ได้ดังที่กล่าวข้างต้น จึงจำเป็นจะต้องมีการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในบริบทของความขาดแคลนในโรงเรียนขนาดเล็กได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ ดังนั้น ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนารูปแบบการบริหารและการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนขนาดเล็ก มีความตระหนักถึงปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็ก จึงได้คิดค้น รูปแบบ เพื่อการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
5
ช่วงชั้นโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning เพื่อเป็นต้นแบบให้ครูผู้สอนได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ครูไม่ครบชั้น รวมทั้งแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีคุณภาพสูงขึ้น ต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
1. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้นโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน
2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน
3. เพื่อสำรวจความพึงพอใจของ นักเรียน ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน
สมมติฐานของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ ได้กำหนดสมมติฐานของการวิจัย ไว้ดังต่อไปนี้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เมื่อได้รับการสอนตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัยในครั้งนี้ คือ
1. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้นโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดการศึกษา สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน
2. ครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กมีคู่มือครูและแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน
3. เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในบริบทของความขาดแคลน ให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียน ครูผู้สอน ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน ในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 ที่มีนักเรียน120 คนลงมา และมีครูไม่ครบชั้นเรียน ประจำปีการศึกษา 2556 จำนวน 10 โรงเรียน
6
1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน ครูผู้สอน ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน ในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต1ที่มีนักเรียน 120 คน ลงมา และมีครูไม่ครบชั้น ประจำปีการศึกษา 2556 จำนวน 10 โรงเรียน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง
1.2.1 นักเรียน ได้แก่ นักเรียนช่วงชั้นที่ 1 จำนวน 172 คน และนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 จำนวน 168 คน รวมจำนวนนักเรียน ทั้งสิ้น 340 คน
1.2.2 ครูผู้สอน ได้แก่ ครูผู้สอนช่วงชั้นที่ 1 จำนวน 10 คน และครูผู้สอน ช่วงชั้นที่ 2 จำนวน 10 คน รวมจำนวนครูผู้สอน ทั้งสิ้น 20 คน
1.2.3 ผู้บริหาร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีครูไม่ครบชั้น 10 โรงเรียน
1.2.4 ผู้ปกครองของนักเรียน ได้แก่ผู้ปกครองของนักเรียนที่ดูแลนักเรียน ช่วงชั้นที่ 1และช่วงชั้นที่ 2 ใน 10 โรงเรียน จำนวน 310 คน
2. เนื้อหาที่ศึกษา ได้แก่
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น ที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2 อิงมาตรฐานช่วงชั้นตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
3. ตัวแปร ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ประกอบด้วย
3.1 ตัวแปรต้น (Independent Variables) ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบบูรณาการช่วงชั้นโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2
3.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variables) ได้แก่ ผลของการใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2 คือ
1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ในโรงเรียนที่ใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้นโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2
2) ความพึงพอใจของนักเรียน ครูผู้สอน ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก
4. ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้า
4.1 พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2 ปีการศึกษา 2556
4.2 ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2 ปีการศึกษา 2556
7
ข้อตกลงเบื้องต้น
1. ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจตามรายละเอียดในคู่มือ การพัฒนารูปแบบการจัด การเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้นโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2
2. ครูผู้สอนจะต้องมีสื่อวัสดุสำหรับให้นักเรียนร่วมกิจกรรมเป็นรายบุคคล
3. ครูผู้สอนตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. การวิจัยและพัฒนา หมายถึง กระบวนการทางการวิจัยที่ใช้ในการสร้าง หรือคิดค้นแนวทาง หรือสิ่งประดิษฐ์ ไปใช้ในการพัฒนาหรือแก้ปัญหาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดหมายว่าจะดีขึ้น
2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วงชั้น หมายถึง แนวทางในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน สำหรับครู เพื่อแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน รวมทั้งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2 ให้สูงขึ้น
3. โรงเรียนขนาดเล็ก หมายถึง โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 1 - 120 คน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
4. โรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นเรียน หมายถึง โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 1 - 120 คน และเปิดสอน ตั้งแต่ ระดับก่อนประถมศึกษา จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีครู 3 - 6 คน
5. การจัดการเรียนรู้ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ
6. บูรณาการช่วงชั้น หมายถึง การนำมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด เนื้อหาสาระ ตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในแต่ละชั้นมาบูรณาการเป็นช่วงชั้น
7. กระบวนการเรียนรู้ Active Leaning หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายโดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน เกิดความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างหลากหลายร่วมกันกับเพื่อน ๆ
8. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ช่วงชั้นที่ 1
ไม่มีความเห็น