“ ทัศนคติเป็นคุณภาพแรกที่เป็นสัญญาลักษณ์ของผู้ประสบความสำเร็จ หากเขามีทัศนคติและคิดในแง่ดี ชอบการท้าทายและสถานการณ์ยากลำบากเขาสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว “
โลเวลล์ พีค็อด
“ ผู้คนแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างเพียงน้อยนิดนั้นทำให้เกิดความแตกต่างที่ใหญ่หลวง ความแตกต่างที่น้อยนิดนั้นคือทัศนคติ ส่วนความแตกต่างที่ใหญ่หลวงอยู่ตรงที่มันเป็นบวกหรือลบ”
คลีเมนท์ สโตน
ทัศนคติของคุณกำหนดระดับของคุณ
คุณอยู่ห่างจากความสำเร็จเพียงแค่ทัศนคติเดียว ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตอยู่ที่ ชีวิตของผู้ประสบความสำเร็จถูกกำหนดและควบคุมโดยความคิดแห่งความสมหวังที่สุด มองโลกในแง่ดีที่สุด และด้วยประสบการณ์ที่ประสบชัยชนะมากที่สุด ตรงกันข้ามผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ถูกชี้นำและควบคุมโดยความล้มเหลวในอดีตและความหวาดระแวง
ผู้คนมักจะพยายามบอกคุณว่า เขาเป็นอย่างนั้นเพราะคนอื่นทำ เขาจะบอกคุณว่าสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งกำหนดชีวิตเขา แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราหรอกที่ทำให้เราเป็นใคร เพราะในที่สุดเราเองต่างหากที่เป็นผู้กำหนดว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร มัลต์บี้ ดีแบ็บค็อค กล่าวว่า “ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดและราคาแพงที่สุดก็คือ ความคิดที่ว่า ความสำเร็จนั้นเกิดจากอัจฉริยภาพ เกิดจากปาฏิหาริย์หรือจากสิ่งที่ไม่มีในตัวเรา” แต่แท้ที่จริงความสำเร็จถูกกำหนดโดยสิ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา มันเป็นผลของทัศนคติของคุณ คุณจะบินได้สูงเพียงใดอยู่ที่คุณคิดอย่างไรมากกว่าปัจจัยอื่นทั้งหมดใน ชีวิตคุณ
ทัศนคติของเราเป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
1.ทัศนคติของเราต่อชีวิต กำหนดชีวิตของเรา
2. ทัศนคติของเราต่อผู้อื่น กำหนดทัศนคติของผู้อื่นที่มีต่อเรา
3. ทัศนคติของเราต่อการเริ่มทำการสิ่งใดจะกำหนดผลสำเร็จของการกระทำสิ่งนั้นมากกว่าสิ่งอื่น
4. คุณยิ่งสร้างค่านิยมสูงขึ้นเพียงไร คุณยิ่งพบทัศนคติที่ดีขึ้นเพียงนั้น
มีคำกล่าวว่า เราคือผู้สร้างสิ่งแวดล้อมของเราเอง ทางด้านจิตใจ อารมณ์ ร่างกาย และวิญญาณ ด้วยทัศนคติ ของเราเอง การมีทัศนคติบวกไม่ได้รับประกันความสำเร็จ แน่นอนมันทำให้ชีวิตประจำวันของคุณดีขึ้น แต่ไม่ได้เป็นเครื่องประกันว่าคุณจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณมีทัศนคติลบ คุณจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ไม่เคยมีผู้ประสบความสำเร็จคนใดที่มีทัศนคติลบ
พลังของความคิดทางบวก
อุดมคติของคุณ หรือปรัชญาของคุณ ก็คือบรรยากาศที่คุณจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันตลอดไป”
ถ้าความคิดของคุณเป็นบวก สิ่งแวดล้อมของคุณก็เป็นบวก เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม
โรเบิร์ต เจ แฮสติงส์ กล่าวไว้ว่า “ สถานที่และสภาพแวดล้อมไม่เคยรับประกันความสุข คุณต้องตัดสินใจเอาเองว่าต้องการจะมีความสุขหรือไม่ เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้ว ความสุขก็จะมาโดยง่าย”
ความคิดทางบวกสามารถเรียนรู้ได้ทุกคน ไม่จำกัดสถานการณ์ นิสัยใจคอ และสติปัญญา
ต่อไปนี้เป็นหลักการ 8 ข้อ ในการปลูกฝังหรือพัฒนาความสามารถในการคิดบวก
1. จงปฏิบัติ เดิน พูด และคิดให้เหมือนกับคนที่คุณอยากเป็น
คนส่วนใหญ่มักจะคอยให้เกิดความรู้สึกบวกเสียก่อนจึงค่อยทำอะไรทางบวก เขาเหล่านั้นทำกลับทาง ทัศนคติเกิดทีหลัง การกระทำต่างหาก ความคิดบวกจะเกิดก่อนการกระทำทางบวก และการกระทำทางบวกจะเกิดก่อนทัศนคติบวก คนที่เริ่มจากความคิดลบไม่มีทางจะเป็นคนบวกตามที่ที่อยากเป็นได้ ถ้าเขายังคอยให้เกิดความรู้สึกนำหน้าการกระทำ
2.จงคิดถึงแต่ทางบวกและความสำเร็จอยู่ในใจตลอดเวลา
แอนดรู คาร์เนกี้ นักอุตสาหกรรมและเศรษฐีหลายร้อยล้านของสหรัฐฯ กล่าวว่า “ คนที่สามารถครอบครองใจของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ สามารถจะครอบครองสิ่งใดก็ได้ที่เขาต้องการ” เมื่อเราเริ่มคิดในทางบวกและเราเห็นตัวเราว่าสำเร็จ เราก็จะเริ่มเป็นผู้ประสบความสำเร็จ
หากเราต้องการเก็บเกี่ยวผลของความสำเร็จของชีวิต เราต้องทำเหมือนเกษตรกร เราไม่สามารถหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดบวกเพียง 2 – 3 เมล็ด แล้วหวังให้มันงอกงามเอง เราต้องหมั่นให้น้ำ ดูแลต้นกล้าและให้ปุ๋ยมัน ถ้าเราทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ วัชพืชแห่งความคิดลบจะงอกแซมขึ้นมา แย่งอาหารในดินและเบียดบังต้นไม้แห่งความคิดบวกจนตายไป
จงป้อนแต่เรื่องบวกๆ และความสำเร็จให้กับความคิดของคุณ อย่าป้อนวัชพืชเข้าไป ดังคำกล่าวในพระคัมภีร์ที่ว่า “อะไรก็ตามที่เป็นสัจจะ อะไรก็ตามที่ซื่อสัตย์ อะไรก็ตามที่ยุติธรรม อะไรก็ตามที่น่ารัก อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องดี จะคิดถึงแต่สิ่งเหล่านั้น”3.จงแผ่ขยายทัศนคติแห่งความมีสุขภาพดี
มีความเชื่อมั่น และเป้าหมาย ขณะที่ความคิดและการกระทำของคุณเป็นบวกมากขึ้น คุณจะเริ่มรู้สึกว่าคุณสุขภาพดี มีความเชื่อมั่นมากขึ้น และจะเริ่มรู้สึกอย่างแรงกล้าถึงเป้าหมายในชีวิต ขณะที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ผู้คนก็จะถูกดึงดูดเข้าหาคุณ เพราะคนชอบที่จะอยู่กับคนบวก จงใช้การตอบสนองทางบวกของคนเหล่านั้นในการพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาและช่วยให้เขาเป็นบวกมากขึ้น
4. จงปฏิบัติต่อทุกคนประดุจคนสำคัญที่สุดในโลก
เราอยู่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนส่วนมากเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยสนใจแต่เป้าหมายที่เขาต้องการบรรลุ บ่อยครั้งที่เขาละเลยไม่ให้เวลากับคนที่เขาได้สัมผัส ถ้าคุณให้เวลากับคนที่คุณพบปะและเอาใจใส่เขาในทางบวกอย่างเต็มที่จะทำให้เขารู้สึกดีมาก คุณจะเพิ่มคุณค่าให้แก่เขา และในทางกลับกันเขาก็จะเพิ่มคุณค่าในตัวคุณ
5.จงทำให้ทุกคนที่คุณพบเกิดความรู้สึกว่าเป็นที่ต้องการมีความสำคัญ และได้รับการขอบคุณ
ทุกคนอยากจะรู้สึกว่าตนเองเป็นที่ต้องการ มีความสำคัญและได้รับการขอบคุณ สิ่งนี้เป็นแก่นแท้ของมนุษย์ เมื่อไรที่คุณสนองความต้องการเช่นนั้นให้ใครได้ เขาจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเขาเองและต่อคุณ มันทำให้เกิดสภาวะ “ชนะทั้งคู่ (Win – Win)” เหมือนดังที่นักปราชญาและกวีอเมริกันในศตวรรษที่ 19 คือ ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน ได้กล่าวเอาไว้ “ การชดเชยที่สวยงามที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตก็คือ ไม่มีใครสามารถพยายามช่วยผู้อื่นอย่างเต็มอกเต็มใจโดยไม่ช่วยตัวเองได้”
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตัวเองสำคัญก็คือเขาจะกลับทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองสำคัญด้วย การปฏิบัติที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้เป็นผลสะท้อนจากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อผู้อื่น
6. จงมองหาแต่ส่วนดีที่สุดในคนทุกคน
สิ่งที่คล้ายกันกับความคิดที่จะทำให้คนรู้สึกว่าได้รับการขอบคุณคือ ความคิดในการมองหาส่วนดีที่สุดในคนทุกคน มีส่วนดีอยู่ในส่วนที่เลวร้ายที่สุดของเราและมีส่วนเลวอยู่ในสิ่งที่ดีที่สุดของเราเสมอ คุณค้นหาสิ่งใดคุณก็จะพบสิ่งนั้น
ถ้าคุณประเมินคนด้วยมาตรา 1 ถึง 10 จงหวังไว้เสมอว่าเขาจะทำได้เต็ม 10 และจงเชื่อเช่นนั้น บ่อยครั้งทีเดียวผู้คนจะเป็นดังที่คุณคาดหวังไว้ในทางบวก
การมองหาส่วนที่ดีที่สุดในคนอื่นจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตัวเขาเอง ทำให้เขาเติบโตและมุ่งมั่นที่จะทำดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ และสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่มีผลผลิตในทางบวก
คนที่คิดทางบวกจะมองหาความคิดดีๆใหม่ๆอยู่เสมอ เพราะมันเพิ่มศักยภาพในความสำเร็จของเขา นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ วิคเตอร์ ฮูโก กล่าวไว้ว่า “ ไม่มีอะไรจะทรงพลังเท่ากับความคิดที่เหมาะเจาะกับเวลา” บางคนเชื่อว่าความคิดที่ยิ่งใหญ่เกิดเฉพาะกับอัจฉริยะของโลกเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วการค้นหาความคิดที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องของทัศนคติมากกว่าความสามารถ คนที่เปิดใจกว้างมีความคิดสร้างสรรค์จะมองหาแนวคิดใหม่ๆ ในทุกหนทุกแห่งที่เขาจะหาได้ และขณะที่เขาค้นหาเขาจะปฏิเสธความคิดต่างๆอย่างช้ามาก จนกว่าจะได้ค้นหาสิ่งดีๆ ในนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน
คนที่คิดบวกจะไม่เสียเวลาและพลังงานไปกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเพราะเรื่องปลีกย่อยอาจทำให้เขาหลงทางออกไปจากเป้าหมาย และลำดับความสำคัญของเขา เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเรื่องไร้สาระเข้ามาทำให้เกิดปฏิกิริยาในทางที่ผิดและปฏิกิริยานั้นอาจใหญ่โตกว่าสถานการณ์จริงๆ
8.จงสร้างจิตวิญญาณของการให้
อัลเบิร์ต ชไวท์เชอร์ กล่าวว่า “ วัตถุประสงค์ของชีวิตคนก็เพื่อให้บริการผู้อื่นแสดงความเมตตาและจิตวิญญาณที่จะช่วยเหลือผู้อื่น” เขาพบความจริงว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่คนคิดบวกจะช่วยเหลือได้ก็คือการให้แก่ผู้อื่น
แฮรี บัสลิส กล่าวว่า “จงลืมเรื่องความหวังในการขายเสียแล้วเอาใจใส่กับการบริการที่คุณต้องทำ” เขาพบว่าขณะที่คนเราเพ่งความสนใจอยู่ที่การบริการผู้อื่น เขาจะคล่องแคล่วขึ้น แข็งขันขึ้น และอดทนมากขึ้น แน่นอนที่สุดไม่มีใครจะต่อต้านคนที่พยายามช่วยเขาแก้ปัญหา การให้แก่ผู้อื่นเป็นวิถีของชีวิตและเป็นไปได้ที่จะคาดคะเนผลตอบแทนในทางบวกของการให้
ผลพวงของความคิดทางบวก – ใช้ชีวิตทางบวก
ความคิดทางบวกสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ มันสามารถนำคุณเข้าไปสู่ตำแหน่งของความสำเร็จได้ ไม่ว่าคุณต้องการจะเสี่ยงแบบไหน
คุณลักษณะของคนคิดบวก
1.ความเชื่อมั่นในตนเอง
เมื่อคุณเป็นคนคิดบวก คุณจะเชื่อตัวเองและเชื่อผู้อื่น ผลที่ได้ก็คือ คุณจะพร้อมมากขึ้นที่จะพยายามทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อหาโอกาสเพิ่มขึ้น ผลจากนั้นก็คือคุณจะบรรลุผลมากขึ้น คุณมีความสามารถที่จะผลักดันตัวเองไปจนสุดศักยภาพของคุณ เมื่อกาลเวลาผ่านไป คุณจะเข้าใจมากขึ้นว่าอะไรที่คุณทำได้และทำไม่ได้ ซึ่งจะทำให้คุณยิ่งมั่นคงขึ้น ในขณะเดียวกันความล้มเหลวไม่สามารถทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของคุณได้ เพราะคุณรู้ดีว่าความผิดพลาดเหล่านั้นไม่มีวันo
2.ความคิดริเริ่ม
ความเชื่อมั่นในตนเองยังส่งเสริมความคิดริเริ่มอีกด้วย เจตนาที่จะเชื่อว่าชีวิตเป็นไปในทางบวกยังสามารถปลูกฝังความปรารถนาที่จะลองของใหม่ได้ ถ้าคุณเป็นคนคิดบวกคุณจะรอไม่ได้ที่จะลองหาประสบการณ์ใหม่ๆและทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น
3.ความยืนกราน
เมื่อคุณเชื่อว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณก็จะเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งสิ่งดีๆนั้นเกิดขึ้น แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความปราชัยบ้าง คุณยังสามารถดำเนินต่อไปเพราะรู้ว่าสิ่งดีๆคอยอยู่เบื้องหน้า เพียงแต่อย่ายอมแพ้เสียก่อนเท่านั้น การยอมแพ้เป็นวิธีแก้ที่ถาวรสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วคราว
4.ความคิดสร้างสรรค์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ ในปรากฏการณ์ของข้าพเจ้างานสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดจะไม่เกิดขึ้นขณะที่คนไร้ความสุข” เมื่อคุณคิดบวกโลกทั้งโลกจะเต็มไปด้วยโอกาสอันไร้ขีดจำกัด
5. ความเป็นผู้นำ
นายพลนโปเลียน โปนาปาร์ต ผู้ปฏิวัติฝรั่งเศสกล่าวว่า “ ผู้นำคือผู้ขายความหวัง “ ผู้นำจะสร้างความหวังในความสำเร็จและความเชื่อมั่นในตนเองให้กับผู้คนรอบตัวเขา เขาจะมอบอำนาจให้ผู้คนเพื่อให้สามารถกระทำตามเป้าหมาย
6.ความเจริญเติบโต
เมื่อคุณมีทัศนคติบวกมันจะเปิดประตูให้คุณมากมาย ประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประตูหนึ่งคือประตูสู่โอกาสเจริญเติบโต ทัศนคติที่ถูกต้องจะทำให้คุณกระหายที่จะเติบโต และความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นคุณลักษณะที่พบบ่อยที่สุดข้อหนึ่งของผู้ประสบความสำเร็จ
7.ความสามารถที่จะสร้างผลงาน
ดับเบิ้ลยู ดับเบิ้ลยู ซีก ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งคนซึ่งมีทัศนคติที่ถูต้องที่มุ่งสู่เป้าหมายของเขาได้ และไม่มีอะไรในโลกนี้สามารถช่วยเหลือคนที่มีทัศนคติผิดๆได้เลย”
สรุปก็คือ เมื่อคุณคิดบวก คุณก็สามารถสร้างผลงานได้ คุณนำตัวเองเข้าไปสู่ตำแหน่งของผู้กระทำไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ คุณสามารถกำหนดและลงมือทำเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่คุ้มค่าอันจะนำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าที่จะมัวหาทางออกให้พ้นจากสถานการณ์ลบๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เมื่อพูดถึงความสำเร็จเราไม่ได้วัดกันเป็นนิ้ว เป็นกิโลกรัม เป็นปริญญา หรือด้วยพื้นฐานทางครอบครัว แต่เราวัดกันด้วยขนาดของความคิด ขนาดของความคิดกำหนดขนาดความสำเร็จของเรา ขนาดความคิดถูกกำหนดโดยวิธีคิดของเรา และวิธีคิดของเราเป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถควบคุมได้ มีบางคนกล่าวไว้ว่า “ เราไม่สามารถชี้ทางให้ลมพัดได้ แต่เราปรับหางเสือเรือได้”
อย่าประมาทพลังของทัศนคติของคุณมันคือ “คนที่ก้าวหน้า” ในตัวเรา รากของมันซอกซอนอยู่ภายใน แต่ผลิผลออกมาภายนอก มันคือเพื่อนที่ดีที่สุดและศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของเรา มันมีความซื่อสัตย์และคงเส้นคงวากว่าคำพูดของเรา มันคือภาพที่ฉายออกมาจากประสบการณ์ในอดีต มันคือสิ่งที่จะดึงดูดคนเข้าหาเราหรือผลักเขาออกไป มันคือโฆษกแห่งปัจจุบันของเรา มันคือคำทำนายแห่งอนาคตของเรา การมีทัศนคติบวกไม่อาจรับประกันความสำเร็จได้ แต่เมื่อทัศนคติของคุณเป็นบวก มันจะพาคุณไปบนเส้นทางที่มุ่งสู่ความสำเร็จ ส่วนคุณจะถึงที่หมายหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไรบนเส้นทางสายนั้น
จิม ดอร์แนน.10 กลยุทธ์
คิดบวกเป็นสิ่งดีมาก แต่บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า สังคมนี้เสมอภาคพอหรือยัง การที่มีฝ่ายรัฐบาลมากเมื่อหันหามาดูฝ่ายค้านที่คิดจะช่วยแก้ไขมาตราให้อยู่ในเกณฑ์ดีแต่ทำไม่ได้เพราะเป็นเสียงข้างน้อยมาก ดูอย่างไรก็คิดบวกลำบาก น่าจะหาทางแก้มาตราที่ทำให้ได้ฝ่ายละเท่า ๆ กัน ถ้าต่างประเทศเขาทำได้ แต่ไทยทำยากนะ