ความสำคัญของการเรียนรู้แบบบูรณาการ
-
เป็นการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพจริงตามธรรมชาติ
เพราะสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติทั้งชีวิต
และสิ่งแวดล้อมล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
หรือเชื่อมโยงอาศัยซึ่งกันและกัน มิได้เป็นไปอย่างโดดเดี่ยว
ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น ดังคำกล่าวที่ว่า "
เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว "
-
ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ลักษณะรอบรู้
มีความรู้หลายด้านเชื่อมโยงกันเป็นองค์รวม ความรู้ ประสบการณ์ไม่คับแคบ
-
ความรู้ที่ได้รับมีความหมายต่อชีวิตและสะดวกต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง
เพราะได้เรียนรู้สิ่งที่สอดคล้อง
กับสภาพจริง ได้เรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม มีความรอบรู้เรื่องนั้นๆ
ซึ่งเมื่อจะใช้หรือแก้ปัญหาในชีวิตจริงจะต้องใช้
ความรอบรู้
ความรู้ที่ได้เรียนอย่างบูรณาการกับสิ่งที่ต้องการใช้ในชีวิตจริงจึงสอดคล้องกัน
สะดวกต่อการใช้งาน
-
สามารถช่วยลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา
ประหยัดเวลาการเรียนรู้ และช่วยลดภาระการสอนได้
-
ส่งเสริมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
คิดวิเคราะห์เชื่อมโยงได้ และช่วยการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
ประเภทของการบูรณาการ
-
แบ่งโดยพิจารณาจากการเชื่อมโยงจุดประสงค์
หรือมาตรฐานการเรียนรู้ หรือสาระการเรียนรู้ดังนี้
1. บูรณาการแบบสอดแทรก เป็นลักษณะการสอนปกติทั่วไปที่บางช่วงได้นำเนื้อหาสาระอื่นมาสอดแทรก
เช่นการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม
เรื่องความซื่อสัตย์ในขณะสอนเรื่องกติกาการเล่นฟุตบอล โดยการเตรียม
การสอน ผู้สอนมิได้ดำเนินการละเอียดถึงขั้นวิเคราะห์หลักสูตร
แต่พิจารณาว่าเรื่องใดพอใจที่จะแทรกเชื่อมโยงกันได้
และนักเรียนจะได้รับประโยชน์มากขึ้นก็จัดสอดแทรก
2. บูรณาการภายในวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน เป็นการนำจุดประสงค์ หรือมาตรฐานการเรียนรู้
และหรือสาระการเรียนรู้ หัวเรื่องหรือประเด็นสาระต่างๆ
ที่มีในวิชานั้นๆ มาบูรณาการกัน โดยผู้สอนมีการดำเนิน
การวิเคราะห์กำหนดรายละเอียดการบูรณาการชัดเจน เช่น
ในวิชาวิทยาศาสตร์นำสาระย่อยเรื่องสสาร แรง พลังงาน
เซลล์ไฟฟ้า และวงจรไฟฟ้า เป็นต้น มาบูรณาการสอนในหัวเรื่อง
" กังหันมหัศจรรย์ " หรือวิชาภาษาไทย นำทักษะ
การฟัง พูด อ่าน เขียน มาบูรณาการสอนในหัวเรื่อง "
บ้านแสนสุข " เป็นต้น
3. บูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือสหวิทยาการ เป็นการนำจุดประสงค์หรือมาตรฐานการเรียนรู้
และหรือสาระการเรียนรู้ต่างๆ ตั้งแต่ 2 วิชา
หรือกลุ่มสาระ มาบูรณาการกัน โดยผู้สอนมีการดำเนินการวิเคราะห์
กำหนดรายละเอียดการบูรณาการของแต่ละวิชาอย่างชัดเจน
4. บูรณาการกับวิถีชีวิต เป็นการกำหนดหัวเรื่อง
เนื้อหาสาระและวิธีการเรียนรู้หรือกิจกรรมต่างๆ ที่ยึด
หรือให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นหลักก่อน
แล้วจึงวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่เกิด เทียบโยง
กับมาตรฐานการเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือสาระที่หลักสูตรกำหนด
ตัวอย่างเช่น
ครูร่วมกับนักเรียน ร่วมกันกำหนดจุดประสงค์
สาระและกิจกรรมการเรียนรู้หรือกำหนด
แผนการเรียนรู้ที่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
เช่น หัวเรื่อง " คนรุ่นใหม่กับการพัฒนาชุมชน "
ซึ่งเป็นเรื่องราวการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตในชุมชน
เป็นต้น แล้วดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้
ที่กำหนดนั้นจนเสร็จสิ้น
โดยครูมีบทบาทในการวิเคราะห์ผลการเรียนที่เกิดขึ้นนั้นว่าบรรลุผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
หรือมาตรฐานการเรียนรู้ใดที่หลักสูตรกำหนดไว้บ้างเพื่อใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรต่อไป
-
แบ่งโดยพิจารณาจากกิจกรรมการเรียนการสอนดังนี้
1.บูรณาการลักษณะสอดแทรกกิจกรรมต่างๆ โดยครูสอนวิชาใดวิชาหนึ่งตามปกติแล้วสอดแทรกกิจกรรม
หรือเชื่อมโยงสาระวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับการสอนนั้นๆ
มาร่วมสอน เช่น ขณะสอนห้องเรียนขาดความสงบ
ครูก็ชวนให้นักเรียนนั่งสมาธิ และกล่าวถึงประโยชน์
ของสมาธิพร้อมกันไปด้วย เป็นต้น
2.บูรณาการโดยใช้กิจกรรมโครงงาน เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรม
การทำโครงงานเป็นหลัก หรือใช้ประกอบในการเรียนรู้เรื่องนั้นๆ
ด้วยการทำโครงงาน โดยปกติจะต้องใช้ความรู้
และความสามารถลักษณะบูรณาการอยู่แล้วโครงงานจึงสำเร็จได้
การเรียนรู้โดยการทำโครงงานจึงสะท้อนการเรียนรู้
ลักษณะบูรณาการได้เป็นอย่างดี
3.บูรณาการโดยใช้กิจกรรมแก้ปัญหา เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการการเรียนรู้
โดยใช้กิจกรรมการแก้ปัญหาเป็นหลักในการเรียนรู้ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกิจกรรมการทำโครงงาน
ทั้งนี้เพราะการเรียนรู้จากกิจกรรมการแก้ปัญหาสามารถสะท้อนการเรียนรู้ลักษณะบูรณาการได้เป็นอย่างดี
เพราะธรรมชาติการแก้ปัญหามิได้ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเดียวแต่ใช้อย่างบูรณาการ
-
การแบ่งประเภทการบูรณาการโดยพิจารณาจากผู้สอนแบ่งได้ดังนี้
1.แบบสอนคนเดียว เป็นลักษณะการสอนที่
ครูสอนคนเดียว สอนหลายวิชาหรือทุกวิชา และผู้สอนท่านนั้น
จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการในทุกวิชาหรือกลุ่มวิชาที่รับผิดชอบนั้น
โดยดำเนินการกำหนด
หรือวิเคราะห์รายละเอียดการบูรณาการอย่างชัดเจน
2.แบบสอนคู่ขนาน มีลักษณะครู
2 วิชาขึ้นไปร่วมกันกำหนดหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่ง
แล้วต่างคนต่างสอนสาระ
ที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องนั้นๆ ในวิชาตนเองเช่น ครูในสายชั้นวางแผนกันกำหนดหัวเรื่อง
"สีสัน"
โดยในวิชาวิทยาศาสตร์ก็สอนเกี่ยวกันความถี่ของคลื่นแสง สีต่างๆ
ครูศิลปะสอนเกี่ยวกับแม่สีและการผสมสี
เพื่อวาดภาพ วิชาสังคมศึกษา
ก็สอนถึงความเชื่อเกี่ยวกับสีในสังคมต่างๆ
วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยีสอนการย้อมผ้าสีต่างๆ จากวัสดุธรรมชาติ
เป็นต้น
เมื่อผู้เรียนเรียนทุกวิชาแล้วก็จะได้ภาพความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสีสัน
ตามหัวเรื่อง
3.แบบสอนเป็นคณะ(ทีม) คือ
การที่คณะครูหลายวิชามาร่วมกันกำหนดหัวเรื่อง จุดมุ่งหมาย สาระและกิจกรรม
รวมทั้งการวัดและประเมินผลที่นำจากหลายวิชามาบูรณาการกัน
กำหนดหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่งพร้อมรายละเอียด
แล้วร่วมกันสอนเป็นคณะในหัวเรื่องนั้นผลงานที่เกิดขึ้นก็สามารถใช้ประเมินได้ทุกวิชา
เป็นต้น