BM.chaiwut
พระมหาชัยวุธ โภชนุกูล ฉายา ฐานุตฺตโม

พรรษาที่๒๙


พรรษาที่๒๙

กิจกรรมเข้าพรรษาในวันนี้ ก็ผ่านไปตามปกติ โดยตอนเย็นก็เคาะระฆังเป็นสัญญาณเรียกพระภิกษุประชุมสงฆ์ในโบสถ์เพื่ออธิฐานเข้าพรรษา และภาคค่ำคณะโยมญาติก็มาไหว้พระสวดมนต์และฟังธรรมตามปกติดังที่เคยเป็นมา... สำหรับผู้เขียนเอง พรรษานี้ก็ย่างปีที่ ๒๙ ซึ่งก็เขียนเล่าไว้ประจำปีมาหลายปีแล้ว ซึ่งเมื่อคืนวานก็ลองอ่านทบทวนเรื่องที่ผ่านมา ผู้สนใจจะลองอ่านดูก็ได้  (พรรษาที่ ๒๓) (พรรษาที่ ๒๔) (พรรษาที่ ๒๕) (พรรษาที่ ๒๖) (พรรษาที่ ๒๗) และ (พรรษาที่ ๒๘) ว่าช่วงเวลา ๖ พรรษาที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง...

พรรษาที่ ๒๓ นั้น วัดอยู่ในสภาพที่อึมครึม พรรษาต่อมาผู้เขียนก็เป็นสมภารเถื่อน ก่อนจะสิ้นปี ๒-๓ วัน พระเดชพระคุณท่านเจ้าอาวาสก็มรณภาพ ผู้เขียนก็ไดัรับการแต่งตั้งเป็นรักษาการแทน เดือนกุมภาปีต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเต็มตัว เพื่อนสหธัมมิกที่เป็นพระสังฆาธิการมีอำนาจเสนอก็พูดเป็นเชิงล้อว่า รักษาการอยู่ข้ามปีแล้วก็ควรจะแต่งตั้งได้แล้ว นับจากปีที่แต่งตั้งมาจนปีนี้ ก็ย่างเข้าปีที่สี่ และถ้านับที่เป็นสมภารเถื่อนอยู่อีกปีก็จะย่างเข้าปีที่ห้า ซึ่งตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา ความเป็นอยู่ของผู้เขียนและสภาพของวัดก็เปลี่ยนไปมาก หลายๆ อย่างที่เคยคิดฝันไว้ ก็ค่อยๆ เป็นจริงขึ้นโดยลำดับๆ....

วัดยางทอง จากสถานที่เป็นแหล่งมั่วซุ่มของคนจรจัด พวกขี้ยา อีกทั้งพวกอันธพาล ก็ค่อยๆ หายไป... จากวัดที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้าเข้ามา ก็กลายเป็นศูนย์รวมของชุมชนย่านเมืองเก่า พอห้าโมงเย็นชาวบ้านใกล้ๆ ก็จะมารำไท้เก๊กบ้าง รำกระบองบ้าง เพื่อออกกำลังกาย... ผู้ปกครองที่มารอรับลูกเรียนพิเศษใกล้ๆ วัด ก็จะมานั่งพักรอหรือนอนรออยู่ในวัด ส่วนตอนกลางวันนั้น พวกรถรับจ้างสองแถวที่รอคิวก็จะมาพักรถนอนเล่นนั่งเล่นอยู่ในวัด....

วัดยางทอง เป็นที่ตั้งของบ่อยางซึ่งชื่อท้องถิ่นเก่าแก่ของเมืองสงขลา ปัจจุบันเป็นชื่อตำบลซึ่งเป็นเขตเทศบาลนครสงขลา... ผู้เขียนเล็งเห็นมานานาเกินยี่สิบปีแล้วว่า สามารถยกมาเป็นจุดเด่นได้ ซึ่งโอกาสเริ่มเป็นจริงเมื่อสโมสรโรตารีสงขลามาติดต่อผู้เขียนเพื่อขุดบ่อยางลูกใหม่แล้วนำต้นยางมาปลูก และเมื่อเป็นสมภารผู้เขียนก็ได้ดำเนินการสร้างวิหารบ่อยาง ศาลาบ่อยางอีกสองหลัง ซึ่งก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพิ่งทำพิธีเปิดโดยนายสมศักย์ ภูริศรีศักดิ์ รมต.ว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา...

สรุปว่าพรรษาที่ผ่านมา ความฝันของผู้เขียนเป็นจริงแล้วในเบื้องต้น หลวงพ่อบ่อยาง พระประธานในโบสถ์อายุสองร้อยกว่าปี คนก็เริ่มรู้จัก วิหารและศาลาบ่อยางก็สร้างเสร็จเรียบร้อย ต้นยางสองต้นที่ปลูกไว้ตอนขุดบ่อลูกใหม่ก็ค่อยๆ สูงขึ้นไปได้ ๔-๕ เมตร ส่วนต้นยางที่ปลูกภายหลัง บางต้นก็ตาย ขณะที่บางต้นก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นมา... ตอนนี้ เมื่อรถชมเมืองวิ่งผ่านวัด ได้ยินมัคคุเทศก์แนะนำว่า "นี้คือวัดยางทองเป็นที่ตั้งของบ่อยางสัญลักษณ์เก่าและชื่อเดิมเมืองสงขลา..." ผู้เขียนจะรู้สึกปลื้มทุกครั้ง...

ประเด็นที่ยังคงเป็นปัญหาก็คือ ขาดบุคลากรช่วยงาน ทั้งที่เป็นพระเณรและญาติโยม... เมื่อก่อนสามเณรในวัดก็มีอยู่ ๓ รูป แต่พรรษานี้ไม่มี เพราะรูปหนึ่งเรียนจบม.๖ ก็ลาสิกขาไป อีกรูปจบม.๓ ลากลับบ้านแล้วหายไป อาจไปเรียนต่อที่อื่นหรือลาสิกขาไปแล้ว ส่วนอีกรูปเลิกเรียนหนังสือแล้วไปสมัครทหารเกณฑ์ โดยกะว่าบวชพระในพรรษานี้แล้วลาสิกขาตอนออกพรรษาแล้วไปทหาร ผู้เขียนจึงบอกว่าไปอยู่วัดไหนก็ได้เพราะไม่เรียนแล้ว เป็นอันว่าข้อผูกมัดที่ว่า "เณรอยู่วัดไหนไม่ได้ให้มาอยู่วัด ผ.อ.ได้ " ก็สิ้นสุดลง เพราะเดียวนี้ ผู้เขียนก็ไม่ได้เป็น ผ.อ. อีกแล้ว

เมื่อไม่มีเณรช่วย งานในวัด พระที่มีอยู่ก็ต้องทำเองในส่วนต่างๆ เช่นจัดสถานที่ในวันพระเป็นต้น แต่พระที่มีอยู่ปัจจุบัน ๗ รูป ก็เป็นพระอายุมาก แต่พรรษาน้อยเกือบทั้งหมด งานการหลายๆ อย่างจึงไม่คล่องเท่าที่ควร หลวงตาอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว สมภารจะคอยว่ากล่าวให้ท่านยกโต๊ะแบกธงอยู่ได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงงานละเอียดด้านเอกสารเป็นต้น...

เมื่อหัวค่ำ ญาติโยมที่เพิ่งเข้ามาสวดมนต์ที่วัด ก็มีข้อเสนอให้นั่งสมาธิ (อีกแล้ว) ซึ่งผู้เขียนก็บอกว่าให้ไปวัด... หรือวัด.... ที่เค้ามีกิจกรรมอยู่ก็ได้ เพราะที่วัดไม่มีบุคลากร จริงอยู่ว่าเรื่องในวัดนั้นสมภารวัดยางทองรูปนี้ทำได้และทำเป็นทุกอย่าง แต่ไม่สามารถทำทุกๆ อย่างได้โดยคนๆ เดียว....

ญาติโยมมักจะมาถามว่าที่วัดขาดอะไรบ้าง ซึ่งผู้เขียนก็บอกว่า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ไม่ขาด เงินวัดก็สามารถหาได้ตามโอกาส ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ สิ่งที่ขาดจริงๆ ก็คือ "คน" ขาดคนช่วยงานทั้งที่เป็นพระเณรและญาติโยม...

ตั้งแต่เป็นสมภาร ผู้เขียนก็ค่อยๆ ห่างการเขียนบันทึก จนกระทั้งปีนี้ มจร. เปลี่ยนคณะผู้บริหาร และชักชวนผู้เขียนไปช่วยสอนอีก เพราะขัดไม่ได้จึงต้องไปสอนอีกครั้ง ภาคก่อนก็สอนสองวิชา ภาคนี้เค้าจะให้สอนสามวิชา แต่รับไว้เพียงวิชาเดียว เพราะอีกสองวิชานั้นยังไม่เคยสอน ไม่มีเวลาเตรียมการสอน.... อีกทั้ง ๒-๓ เดือนก่อน ผู้เขียนเริ่มใช้เฟสบุคทั้งๆ ที่สมัครไว้หลายปีแล้ว... เพราะเหตุที่ต้องกลับไปสอนหนังสือและเล่นเฟสบุค ทำให้ผู้เขียนค่อยๆ กลับมาบ่นเป็นภาษาหนังสืออีกครั้ง... ซึ่งจะเห็นได้ว่า บันทึกของผู้เขียนในโกทูโนช่วงนี้ จะค่อยๆ ถี่ขึ้น ซึ่งต่างจากตอนเริ่มเป็นสมภารที่ค่อยๆ ห่างไป....

ก็บ่นเล่นๆ มาพอสมควรแล้ว พรรษาหน้า ถ้ายังมีชีวิตปกติอยู่ วันเข้าพรรษาหรือวันออกพรรษา ค่อยมาบ่นอีกต่อไป...

หมายเลขบันทึก: 543402เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2013 22:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 กรกฎาคม 2013 13:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท