การศึกษาเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง หากประเทศใดมีการจัดการศึกษาที่ดี ก็จะส่งผลให้มีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดนโยบายการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (2552-2561) ภายใต้วิสัยทัศน์”คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณคุณภาพ” โดยมีประเด็นหลัก 3 ประเด็น คือ การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและ การเรียนรู้ของคนไทย การเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารและการจัดการศึกษา(กระทรวงศึกษาธิการ,2553)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในสังกัด 32,879 แห่ง เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียน ตั้งแต่ 120 คนลงมา มีจำนวนมากถึง 13,882 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 43.73 และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี อันเป็นผลเนื่องมาจากอัตราการเกิดลดลง และความนิยมของผู้ปกครองที่ต้องการส่งบุตรหลานไปเรียนโรงเรียนในเมืองเนื่องจากการคมนาคมสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,2555)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 (2556) พบว่า โรงเรียนขนาดเล็กส่วนใหญ่มีคุณภาพและมาตรฐานต่ำกว่าโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ เนื่องจากความ ขาดแคลน ทั้งงบประมาณ วัสดุ ครุภัณฑ์ อุปกรณ์การเรียนการสอน รวมทั้งขาดแคลนครู ครูไม่ครบ ชั้นเรียน ขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ โดย ฯพณฯ พงศ์เทพ เทพกาญจนา ประกาศยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียน ตั้งแต่ 60 คนลงมา ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ของชุมชนแบ่งเป็นสองฝั่ง ว่าเป็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา หรือเป็นการทำลายการศึกษา แต่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 ก็ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยไม่มีนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็ก แต่จัดให้มีการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กกับโรงเรียนขนาดเล็ก ด้วยกัน หรือ ควบรวมกับโรงเรียนขนาดกลาง หรือควบรวมกับโรงเรียนขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้เคียงและการคมนาคมสะดวก ทั้งนี้ ได้ดำเนินการเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียน ตั้งแต่ 25 คน ลงมา ระยะที่ 2 ปีการศึกษา 2557 ควบรวมโรงเรียน ขนาดเล็ก ที่มีนักเรียน ตั้งแต่ 40 คน ลงมา และ ระยะที่ 3 ปีการศึกษา 2558 ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียน ตั้งแต่ 60 คน ลงมา โดยจัดให้มีการประชุมจัดทำประชาพิจารณ์ของชุมชน ซึ่งประกอบไปด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประชาชนในชุมชนและผู้ปกครองนักเรียนทุกคน รวมทั้งพระสงฆ์วัดใกล้โรงเรียน หากยินดีเข้าร่วมโครงการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก รัฐบาลจะสนับสนุนค่าพาหนะให้นักเรียน คนละ 10-20 บาท /วัน ตามระยะทางที่มา ทั้งนี้ การควบรวมโรงเรียนในครั้งนี้สมารถกลับไปโรงเรียนเดิมได้เมื่อมีนักเรียนเพียงพอตามที่กำหนด แต่หากปีการศึกษาใดไม่มีนักเรียนในเขตบริการมาสำรวจในปีการศึกษาต่อไปก็จะดำเนินการยุบโรงเรียน โดยนำวัสดุ ครุภัณฑ์ไปใช้ในโรงเรียนที่ไปควบรวม หรือโรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียง ส่วนอาคารสถานที่ ท้องถิ่นสามารถขอใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหมู่บ้าน หรือแหล่งเรียนรู้ชุมชนก็ได้ แต่ถ้าหากว่าโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีมติไม่ยุบหรือไม่ควบรวมกับโรงเรียนอื่น ด้วยเหตุอยู่ห่างไกล การคมนาคมไม่สะดวก หรือโรงเรียนที่ชุมชนต้องการให้คงอยู่ต่อไป ก็ให้พัฒนาเป็นโรงเรียนจิ๋วแต่แจ๋ว โดยกำหนดให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากคะแนน O-Net ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต้องสูงขึ้น ร้อยละ 5 ในปีการศึกษา 2556 ตามนโยบายเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การดำเนินการยุบโรงเรียนหรือการควบรวมโรงเรียน ถ้าทำไปตามลำดับขั้นตอน ประชุมชี้แจง ประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนเข้าใจในนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของรัฐบาล และสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ทำแบบไฟไหม้ฟาง เช่น ค่าพาหนะ ก็สามรถดำเนินการได้เป็นอย่างดี แต่หากรัฐบาลมีนโยบายไม่สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ก็จะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง ซึ่งอาจจะกระทบทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับโรงเรียน ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับ สพฐ.ตลอดทั้งระดับกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นปัญหาระดับประเทศต่อไป
ไม่มีความเห็น