ฤดูฝนปีนี้ฉันเลือกเดินทางไปยังเมืองดอกบัวงาม
อันเป็นเมืองแห่งธรรมอีกแห่งหนึ่ง ครั้งนี้ ฉันได้มีโอกาสไปที่วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ
จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นสถานที่พำนักของพระอริยสงฆ์รุ่นครูรูปหนึ่งในอดีต คือหลวงปู่ชา
สุภทฺโท (พระโพธิญาณเถร) ทันทีที่ผ่านเข้าสู่ประตูวัด ความสุขและประทับใจก็เกิดขึ้นในใจ
ด้วยเพราะทั่วทุกที่ที่มองเห็น เต็มไปด้วยสีเขียวครึ้มของต้นไม้น้อยใหญ่ บรรยากาศดูสงบร่มรื่น และร่มเย็น อีกทั้งผู้คนที่ได้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาเยี่ยมเยือนเพื่อสักการะหลวงปู่ชา
หรือผู้ปฏิบัติธรรม ต่างกระทำกิจต่าง ๆ ด้วยความสงบและสำรวม ฉันเข้าไปกราบสักการะอัฏฐิของหลวงปู่ในเจดีย์พระโพธิญานเถร
สวดมนต์นั่งสมาธิสักครู่เพื่อเป็นสักการะบูชา แล้วกลับออกมาด้านนอกด้วยใจที่อิ่มเอิบและปีติในคุณความดีของหลวงปู่มีต่อพระพุทธศาสนา ฉันเดินนิ่งๆ
กำหนดสติอยู่ใต้ร่มไม้สักพักหนึ่งเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ แล้วออกเดินสังเกตุการณ์บริเวณโดยรอบ สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็น และน่าสนใจภายในวัดนี้ก็คือ
ข้อธรรมต่าง ๆ ที่ติดอยู่ตามต้นไม้ในวัดจำนวนไม่น้อย ที่คาดว่าน่าจะคัดมาจากคำสอนของพระอาจารย์ที่สั่งสอนสงฆ์และคฤหัสถ์เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ถึงตรงนี้มีคำถามเกิดขึ้นในใจฉันทันทีว่า
จะมีสักกี่คนหนอที่จะพิจารณาข้อธรรมที่หลวงปู่พร่ำสอนนี้ แล้วนำไปใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง และจำนวนของคนที่จะนำไปใช้ กับคนที่คิดว่ามันยาก
หรือทำได้ก็เป็นอรหันต์กันหมดแล้ว อย่างไหนจะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่ากันหนอ สำหรับฉันแล้ว จากที่ได้สัมผัสมาตลอดระยะเวลาของการเริ่มเดินเข้าสู่สายธรรมนั้น
ยังเชื่อว่ามีคนอีกไม่น้อยทีเดียวที่ยังคงเห็นว่าการนำเอาข้อธรรมต่าง ๆ
มาใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นเป็นเรื่องยาก และเป็นไปได้ยาก บ้างก็ว่าคร่ำครึ บ้างก็ว่ามัวแต่ทำตัวเป็นคนดี
จะก้าวไม่ทันคนอื่นในยุคนี้ และถูกเอาเปรียบได้ง่าย ฯลฯ สรุป คือยังไม่เห็นประโยชน์ของธรรมะ บางครั้งยังเคยได้ยินคนบางคนปฏิเสธการเข้าปฏิบัติธรรม
หรือ ใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตด้วยวลีที่ว่า “ยังไม่ได้คิดจะบรรลุธรรม” หรือ “ยังไม่ถึงเวลา”
หรือ “ไม่มีเวลา” ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่ได้ยินประโยคเหล่านี้ ก็ให้นึกเสียดายแทนคนพูดนั้นทุกครั้งไป ก็จะเพราะอะไรเล่า ก็เพราะเสียดายว่าเขาเริ่มปฏิเสธสิ่ง
ๆ หนึ่งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทดลองเลย ว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร แท้จริงแล้วธรรมะอาจมีประโยชน์ต่อเขาก็ได้
หากเพียงเขาลองเปิดใจน้อมนำมาใช้สักข้อ โดยไม่ต้องสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ นา ๆ
ไปก่อนที่จะได้ทดลองสัมผัสด้วยตัวเอง ในมุมมองของฉันนั้น ข้อธรรมของพระพุทธองค์นั้นล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะถ่ายทอดโดยใคร ไม่ว่าเราจะนำมาใช้เพียงข้อเดียวหรือหลายข้อก็ตาม และการนำธรรมะมาใช้ในชีวิตนั้น ไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายอยู่ที่การบรรลุธรรมอย่างเดียว
ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเวลา หรือต้องตัดตัวเองออกจากสังคมที่เป็นอยู่เลย เพราะแท้จริงธรรมนั้นสามารถใช้ได้ในทุกที่
ทุกเวลา โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกตน หรือพัฒนาตนเองให้เกิดปัญญา เพื่อจะนำพาตัวเราข้ามพ้นห้วงแห่งทุกข์ไปได้นั่นเอง
และหากมิได้มุ่งหวังบรรลุธรรม หากแต่ยังปรารถนาใช้ชีวิตปกติอยู่ในทางโลก การปฏิบัติธรรมหรือการนำเอาข้อธรรมต่าง ๆ
นั้นมาใช้ ก็จะยังประโยชน์ให้ผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ดี และกลับจะยิ่งทำให้เราสามารถมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น
อยู่ในสังคมและเจริญก้าวหน้าได้ดีขึ้น ด้วยเพราะการปฏิบัติธรรมหรือการหมั่นน้อมนำเอาธรรมมาใช้อยู่เสมอนั้นหรือจะก่อให้เกิดปัญญาและการเจริญงอกงามของธรรมขึ้นในใจของเราเองและปัญญานั้นจะช่วยให้เราไม่เสียเปรียบเพรี่ยงพร้ำต่ออารมณ์สิ่งเร้าได้ง่าย
แต่กลับเฉียบคมและว่องไวขึ้น เราจะสามารถตั้งรับกับสิ่งต่าง ๆ
ที่ต้องเผชิญได้อย่างสุขุมรอบคอบขึ้น คนที่สร้างเงื่อนไขเพื่อปฏิบเสธการเข้าสู่ทางธรรม
ไม่ว่าโดยการปฏิบัติ หรือน้อมนำเอาธรรมมาใช้เหล่านั้น ล้วนเสียโอกาสอย่างยิ่ง
เพราะยังไม่ได้เห็นความจริงนี้เหล่านี้ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ตั้งเงื่อนไขให้กับการน้อมนำเอาธรรมมาใช้
หรือปฏิเสธการปฏิบัติธรรมอยู่เลย อุปมาจะเหมือนกับว่า
ท่านจะรู้รสของผลไม้ได้อย่างไร หากยังไม่ได้ลิ้มลองด้วยตัวเอง
สำหรับฉันแล้ว การปฏิบัติธรรม หรือการน้อมนำเอาข้อธรรมมาใช้นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับศรัทธาของบุคคลเป็นหลัก หากมีศรัทธาที่ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนแล้ว ย่อมจะทำให้เกิดวิริยะ คือความพากเพียรที่จะกระทำขึ้นเอง จากนั้น สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะตามมาเอง อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันให้ความสำคัญคือความเข้าใจอันถูกต้อง ในข้อธรรมและหลักการปฏิบัติ ซึ่งอันนี้ต้องแน่ใจว่าไม่ผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และต้องไม่หลงงมงาย ทางออกที่ดีอาจทำได้ด้วยการเลือกครูบาอาจารย์ที่ดี ที่เป็นที่ยอมรับจากสาธุชนทั่วไป และมีคำสอนอันตรวจสอบและอ้างอิงได้ตรงตามพระไตรปิฎกอันเป็นที่รวมและที่สุดของพระธรรมทั้งหลาย ทั้งนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปล่า และจะมากล่าวกันภายหลัง ว่าปฎิบัติธรรมแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย
สำหรับการปฏิบัติธรรมนั้นก็สุดแท้แต่ว่าใครจะเลือกแบบไหน สายไหน ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีมากมายหลายสำนัก ซึ่งส่วนใหญ่ต่างกันที่เส้นทางเดิน แต่ก็ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน หากจะหลุดออกนอกลู่ทางไปอย่างเห็นได้ชัดเจนจริง ๆ ก็ไม่ควรนำมาพิจารณา แต่เท่าที่พบเห็น ฉันก็เห็นว่าจะแยกเป็นสายสมถะ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งจำกัดความคร่าว ๆ ได้ว่าสมถะนั้นคือการทำจิตให้สงบ ซึ่งขณะที่จิตสงบก็จะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่มากระทบ ส่วนวิปัสสนาฯ นั้นเป็นการทำจิตให้ตื่นรู้อยู่ตลอด คือรู้ตามความเป็นจริง แล้วแยกแยะโดยธรรมต่าง ๆ จนเกิดปัญญา สำหรับฉันเองเลือกการฝึกตนด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เดินจงกรม-นั่งสมาธิ ควบคู่ไปกับการศึกษาข้อธรรมจากพระไตรปิฎกโดยมีครูบาอาจารย์สั่งสอนอบรมให้ตามวาระโอกาส และอาศัยการอ่านหนังสือธรรม และฟังธรรมตามกาล ที่สำคัญคือนำข้อธรรมมาใช้ในชีวิตอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส และจากประสพการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่าในการปฏิบัติธรรมนั้น หากจะให้ได้ประโยชน์แท้จริง ...เมื่อทำสมาธิจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว เราต้องนำเอาข้อธรรมต่าง ๆ มาคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบ หรือที่ทางธรรมเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" และเมื่อนั้นแหละจึงจะเกิดปัญญา ที่จะนำไปขจัดกิเลส ตัณหาต่างๆ ได้ แต่หากไม่รู้หลักเสียก่อน แล้วมุ่งแต่จะทำสมาธิให้จิตสงบเพียงอย่างเดียว เมื่อคลายออกจากสมาธิ ก็จะไม่ได้ปัญญาที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาแต่อย่างใด ครั้นพอมีอะไรมากระทบก็วิ่งไปตามอารมณ์นั้น ๆ โดยขาดสติปัญญาในการใคร่ควร หาสิ่งดีชั่ว ถูกผิด และหากไมรู้จักหรือจดจำข้อธรรมใด ๆ ไม่ได้เลย จะเอาอะไรมาเป็นสิ่งแยกแยะอารมณ์ที่มากระทบได้ นอกจากปล่อยไปตามความชอบใจ (คืออารมณ์) ของตัวเอง ซึ่งจะถูกบ้างผิดบ้างแล้วแต่อารมณ์จะพาไป บางครั้งก็ไปในทางกุศลบางครั้งก็ไปในทางอกุศล ก็กลับกลายเป็นว่าใช้ชีวิตไปบนพื้นฐานของอารมณ์มากกว่าเหตุผลนั่นเอง ถึงตรงนี้ทำให้ระลึกถึงคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพรูปหนึ่งที่มักจะเตือนสติเราด้วยคำถามที่ว่า “จะเอาถูกใจ หรือจะเอาถูกต้อง” และนี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงให้ความสำคัญต่อข้อธรรมต่าง ๆ ที่ติดอยู่ตามต้นไม้ในวัดหนองป่าพงเมื่อได้พบเห็น เพราะหากไม่มีหลักธรรมไว้คอยยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่หมั่นเตือนตน จิตของเราก็จะหลุดไปเป็นทาส และกวัดแกว่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ได้ง่าย เราจึงไม่ควรประมาท และควรจดจำ ศึกษาข้อธรรมต่าง ๆ นั้นไว้บ้าง เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต อย่างน้อยเราก็เรียกตัวเองว่าเป็นพุทธมามะกะ หรือผู้ถือตนว่าเป็นว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว ดังนั้น ชีวิตชาวพุทธ ไม่ว่าจะหวังหรือไม่หวังบรรลุธรรม ก็ควรมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ในใจบ้าง เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะอย่างไรเสีย พระธรรมนั้นมิเคยให้โทษใด ๆ แก่ใครเลย มีแต่จะให้คุณแก่ผู้น้อมนำไปปฏิบัติเท่านั้น
อนุโมทนาสาธุค่ะ
ขอบคุณทุกท่านสำหรับกำลังใจนะคะ