การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนากับการคิดแบบวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ มีวิธีการที่เป็นระบบเหมือนกัน ดังนี้
1. วิธีคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา เป็นกระบวนการคิดพิจารณาค้นคว้าหาคำตอบ
ของพระพุทธเจ้าเพื่อตรัสรู้ สรุป ได้ 2 วิธี คือ
(1) คิดโดยสืบสาวจากผลไปหาเหตุ เช่น การสังเกตสภาพของคนแก่ คนเจ็บ คน
ตาย (เป็นผล) และคิดตามหลักอริยสัจ 4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค)
(2) คิดโดยสืบสาวจากเหตุไปหาผลคือ การคิดจะลงมือปฏิบัติโดยวิธีการต่าง ๆ
เช่น การบำเพ็ญเพียรทางจิต จะส่งผลให้เกิดการรู้แจ้งในสัจธรรม
2. วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ เป็นการคิดใช้เหตุผล หรือคิดตามกระบวนการของ “วิธีการ
วิทยาศาสตร์” โดยเริ่มตั้งแต่ การสังเกต การรวบรวมข้อมูล การตั้งสมมติฐาน การทดสอบ และการสรุปผลตามลำดับ
4. ความสอดคล้องกันระหว่างแนวคิดของพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ มีแนวคิดสอดคล้องกัน 2 ประการ ดังนี้
1. ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งในโลก สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นและดำเนินเป็นไป
ตามกฎแห่งเหตุและผลตามธรรมชาติ (หลักคำสอนเรื่องไตรลักษณ์ของพระพุทธศาสนา) สอดคล้องกับทรรศนะของวิทยาศาสตร์ที่ว่าทุกสิ่งในสากลจักรวาลมีการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง
2. มนุษย์คือผลผลิตของธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการปั้นแต่งของพระเจ้า
3. การพิสูจน์ความจริงอย่างเสรีและมีเหตุผล พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่ออะไร
ง่าย ๆ (หลักคำสอนเรื่องกาลามาสูตร) โดยไม่ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเองเสียก่อน ซึ่งสอดคล้องกับหลักแนวคิดของวิทยาศาสตร์เช่นกัน
ความแตกต่างในแนวคิดระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
มีคำสอนในพระพุทธศาสนาบางเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ เพราะวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแยกแยะหรือพิสูจน์ได้ มีดังนี้
1. คำสอนเรื่องของจิต ได้แก่ หลักคำสอนเรื่อง “เบญจขันธ์” หรือองค์ประกอบของมนุษย์ 5 ประการ ได้แก่ รูปขันธ์ (ร่างกาย) และนามขันธ์ 4 (ส่วนประกอบที่เป็นจิต 4 อย่าง ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญาณ) ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถใช้เครื่องมือพิสูจน์ให้ประจักษ์ได้
2. คำสอนเรื่องปัญญา คำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่องปัญญาขึ้นสูงสุด คือ การ
เข้าถึงโลกุตระ (ปัญญาที่ที่หลุดพ้นจากกิเลสหรือวิสัยทางโลก) โดยวิธีฝึกอบรมวิปัสสนาจนเกิดปัญญารู้แจ้งตามความจริงนั้น เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับ ฤ
ไม่มีความเห็น