โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน Stroke
ชีวิตของคนปัจจุบันน่าห่วง ทำงานเร่งรีบ เครียด
บริโภคอาหารจานด่วน อ้วน ขาดการออกกำลังกาย เสี่ยงเป็น โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
ส่วนใหญ่มักมีอาการเฉียบพลัน หากถึงมือแพทย์ช้า อาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ตลอดชีวิต
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
หรือ Stroke เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง
เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ
ส่งผลให้สมองขาดเลือด อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ กลายเป็น โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
อาการเบื้องต้นที่พบบ่อยของ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เช่น ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน
มีอาการชาครึ่งซีก อ่อนแรงและหน้าเบี้ยว หรือมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย พูดลำบาก
หรือฟังไม่เข้าใจ เวียนศีรษะ การทรงตัวไม่ดี เดินเซ กลืนลำบาก ปวดศีรษะ
(บางครั้งจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง) ซึ่งอาจจะแสดงอาการออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือมีอาการหลายอย่างพร้อมกัน ส่วนใหญ่ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน มักเกิดในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป
ซึ่งเป็นช่วงวัยที่กำลังสร้างสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม
หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาและวินิจฉัยโดยด่วน
ถ้าผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ได้รับการรักษาและสามารถกลับคืนมาเป็นปกติใน 24
ชั่วโมง เรียกว่า TIA (Transient Ischemic Attack) หรือ Mini stroke
สาเหตุสำคัญของ
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เกิดจากการมีไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือดด้านในหลอดเลือดสมอง
หรือมีลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ
หลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
หัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ผนังหัวใจรั่ว
หรือเกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เส้นเลือดอุดตัน
รวมถึงการแข็งตัวของเลือดที่เร็วเกินไป หรือเกล็ดเลือดมากเกินไป
ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้
ผู้ที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการเกิด
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ได้แก่ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน
โรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ทำให้มีลิ่มเลือดหลุดไปอุดเส้นเลือดสมอง ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
จะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเร็วกว่าปกติ
ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก ละเลยการออกกำลังกาย
นอกจากนี้ฮอร์โมนบางอย่างโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง
จะทำให้หลอดเลือดดำในสมองอักเสบได้
การป้องกันโรคสมองตีบตัน
- งดสูบบุหรี่
- ควบคุมอาหาร
อย่าให้น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ถ้าเป็นเบาหวาน
ควรรักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
ควรดูแลความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หากมีอาการผิดปกติ
เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดลำบาก เวียนศีรษะ มองเห็นภาพซ้อน
ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
- ควรตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ
เพื่อตรวจหาความเสี่ยง
เพราะอาจเกิดลิ่มเลือดในหัวใจหลุดเข้าไปอุดตันในหลอดเลือดสมองได้
การจะทราบว่าผู้ป่วยที่มาพบแพทย์เป็น
โรคหลอดเลือดสมอง หรือไม่ เป็นที่จุดใด มีความรุนแรงเพียงใดนั้น
ควรทำการตรวจโดยเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ให้ผลละเอียดและมีความแม่นยำสูง
เพื่อประกอบการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งมีหลายวิธี อาทิ การตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) การตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI
และ MRA) การตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดในสมอง
(Transcranial Doppler : TCD) และการตรวจหลอดเลือดคอ เป็นต้น
ซึ่งผลที่ได้มีความละเอียดแม่นยำมากพอ
ที่จะช่วยทำให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาโรคสมองตีบตัน
สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เกิดความสำเร็จในการรักษา
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน คือ การทำให้เซลล์ของสมองยังอยู่รอดให้ได้นานที่สุด
ถ้าเราสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้ทันเวลาและในระดับที่เพียงพอ
ก็สามารถทำให้เนื้อสมองบริเวณนั้นฟื้นตัวได้เร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติได้
ซึ่งการรักษานี้จะต้องทำภายใน 3 ชั่วโมง เพื่อให้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolysis) การให้ยานี้ผู้ป่วยควรอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเท่านั้น
หลังจากให้ยาแล้วผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ควรอยู่ในโรงพยาบาล 2-3 วัน เพื่อดูอาการต่อไป หากเกิน 3 ชั่วโมงแล้ว
ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาในหอผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง
เพื่อทำการรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยมากที่สุด เช่น
*
รักษาโดยการให้ยาบางประเภท
เพื่อให้เซลล์สมองเสียน้อยที่สุด โดยระยะแรกๆ ควรจะดูแลผู้ป่วย
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน อย่างใกล้ชิด เพื่อสังเกตอาการแทรกซ้อน บำบัดรักษาโรคอื่นๆ
ของผู้ป่วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันสูง โรคไต ปอดบวม กลืนลำบาก เป็นต้น
*
ใช้กายภาพบำบัดในรายที่เป็นอัมพาต
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกนั่ง ยืน เดิน การฝึกกลืน ฯลฯ
*
ในรายที่ซึมเศร้า
เป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคอัมพาต
มักจะให้การรักษาโดยใช้จิตบำบัดร่วมด้วย
ผู้ป่วยควรได้รับการฟื้นฟูมากที่สุด
เพื่อให้ช่วยเหลือตัวเองหรือเป็นอิสระมากที่สุด
ผู้ป่วยบางรายช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทีมแพทย์และพยาบาล ควรจะมีการติดตามอาการผู้ป่วยขณะบำบัดที่บ้านด้วย
ไม่มีความเห็น