ทำอย่างไรให้ลูกเก่งดีมีสุข


ทำอย่างไรให้ลูกเก่งดีมีสุข



    เก่ง ดี มีสุข  ตามแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ.2552-2559) หมายถึงคนไทยจะต้องเป็นคนเก่ง ดี มีสุข ดำรงชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีสุขภาพทั้งกายและใจที่สมบูรณ์ มีความภูมิใจในความเป็นไทยสามารถประกอบอาชีพและอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข

 


ความเก่งของมนุษย์ในด้านสติปัญญา (Intelligence Quotient--IQ)  เป็นคุณลักษณะที่เป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกคน แต่ข้อค้นพบทางทฤษฎีและงานวิจัยต่างๆ ในระยะหลังกลับพบว่าความเก่งทางด้านสติปัญญาเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์สามารถบรรลุเป้าหมายของการมีชีวิตที่สมบูรณ์ได้  เพราะการมีชีวิตที่สมบูรณ์นั้น  นอกจากจะมีความสามารถในการเรียนรู้องค์ความรู้แล้วมนุษย์ต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ตนเอง รวมทั้งเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ  สิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี รวมทั้งมนุษย์อื่นๆ โดยมีพื้นฐานของความดีงามเป็นเครื่องรองรับ  ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงความเก่งจึงต้องรวมทั้งความฉลาดทั้งในด้านสติปัญญา และความฉลาดทางด้านอารมณ์  ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต้องพัฒนาควบคู่กันไป

 

 


หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเราจะสร้างคนเก่งดีมีสุขให้อยู่ในคนคนเดียวกันได้หรือไม่ เรื่องนี้Benjamin S. Bloom ได้ทำการศึกษาความเป็นมาของอัจฉริยบุคคลที่ได้รับการยอมรับในสังคมว่า “เป็นหนึ่ง” ในด้านต่างๆ จากคน 6 สาขา ได้แก่ นักแกะสลักประติมากรรม นักวิจัยทางคณิตศาสตร์ นักเปียโน นักวิจัยทางประสาทศึกษา นักว่ายน้ำเหรียญทองโอลิมปิก และนักเทนนิสระดับแชมป์เปี้ยน อายุไม่เกิน 35 ปี โดยทำการรวบรวม ประวัติ พฤติกรรรม และข้อมูลต่างๆ เช่น ผลการเรียน วิธีพัฒนาความเก่งในสาขาของตนเอง การสนับสนุนจากแหล่งต่างๆ ร่วมกับสอบถาม พ่อแม่ครู โค้ช เพื่อนๆ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง พบว่า พ่อแม่ของอัจฉริยบุคคลเหล่านั้นไม่เคยคาดหวังให้ลูกของตนต้องเป็นอัจฉริยะ แต่พ่อแม่จะเลี้ยงดูลูก ๆ ด้วยความเข้าใจธรรมชาติของลูก มีการสังเกตพฤติกรรมและความสามารถของลูกตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งเมื่อค้นพบว่าลูกชอบ และมีความสามารถด้านนั้นๆ เป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ไทเกอร์ วูดส์ ชอบเล่นกอล์ฟมาตั้งแต่ 3 ขวบ หรือโมสาร์ท ชอบเล่นเปียโนมาตั้งแต่ 3 ขวบ พ่อแม่ก็จะให้การสนับสนุนความเก่งทางด้านนั้น พ่อแม่บางรายจะมีการหาผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพมาทำการสอนลูก ให้เกิดความชำนาญ และเป็นมืออาชีพในด้านนั้น ๆ มากขึ้น

 


นอกจากนี้ยังพบว่า พ่อแม่ ส่วนใหญ่จะสอนลูกให้มีความมุ่งมั่นในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ ทำงานหนัก และสามารถพึ่งพาตนเองได้ และสำคัญสิ่งสุดคือที่พ่อแม่ทุกคนให้กับลูก คือ ความรักความอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่ โดยเชื่อว่า ความรักจะเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง เมื่อลูกรักจะทำอะไร พ่อแม่จะให้การสนับสนุนเพื่อให้ลูกมีความสุข

 


เมื่อสอบถามถึงรายละเอียดก่อนการตั้งครรภ์ของแม่อัจฉริยบุคคล พบว่า ก่อนการตั้งครรภ์แม่ส่วนใหญ่ตั้งใจและมีการเตรียมพร้อมที่จะมีบุตร และขณะตั้งครรภ์จะเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ และทำจิตใจให้มีความสุข  พ่อแม่ของอัจฉริยบุคคล ไม่ได้คาดหวังว่าลูกต้องเก่ง แต่เลี้ยงดูเขาด้วยความรักความเข้าใจ สนับสนุนด้านเด่นของลูกอย่างเต็มที่ และมองลูกเป็นอัจฉริยะในสายตาของพ่อกับแม่ โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับลูกของผู้อื่น


จากผลการศึกษาของ Benjamin S. Bloom จึงพอสรุปได้ว่าเก่งดีมีสุข ต้องเริ่มจากความรักความอบอุ่นจากครอบครัวหล่อหลอมให้เด็กเกิดการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์เป็นพื้นฐานก่อน เมื่อเด็กสุขกายสุขใจ จึงจะเกิดการพัฒนาความฉลาดทางสติปัญญาได้โดยง่าย การพัฒนาให้เด็กเก่งดีและมีสุข เด็ก ๆ จะต้องได้รับการตอบสนองที่ดีในการพัฒนาปัญญาผ่านการเรียนรู้ชีวิตสามฐาน ได้แก่ ฐานกาย ฐานใจ และฐานความคิดตามลำดับ

 

การพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก

 

 

  
เก่งดีมีสุข

ภาพจาก


http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=4442257640161359354#editor/target=post;postID=1075571075599124911



ฐานกาย วัย 0-7 ปี วัยนี้เป็น "วัยเล่น" ชอบเล่นและทำซ้ำ ๆ จนเกิดการเรียนรู้ที่เหมาะสม (optimum learning) เล่นอย่างดื่มด่ำจนทำให้ซึมซับอารมณ์  (sense) ความสุขต่างๆ (appreciation) ในวัยเด็กให้จดจำ  ซึ่งเป็นการบ่มเพาะการสร้างเจตจำนงค์ (Willing) ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่มีค่ามากในวัยนี้ ผ่านการสัมผัส (Sense of touch) เช่น โอบกอด การสัมผัสที่มากพอ จะบ่มเพาะความกล้าให้มีการพัฒนาขึ้นในตัวเด็ก นอกจากนี้การเคลื่อนไหว (Sense ofMovement) เช่นการวิ่งเล่นของเด็กจะส่งผลให้เด็กเกิดการเรียนรู้เรื่องเสรีภาพ อิสระเสรี จากการเคลื่อนไหว ร่วมกับมีการพัฒนาความสมดุลของชีวิต (Sense of balance) เกิดเรียนรู้การมีชีวิตที่สมดุล การไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของชีวิต และสุดท้ายฐานกายนี้ยังมีการพัฒนาการเรียนรู้ชีวิต (Sense oflife) เด็กที่ได้เรียนรู้ ความรัก ความอบอุ่น จากสัมผัสของพ่อแม่ อ้อมกอดที่ให้กันและกันเด็กจะรู้สึกมั่นคงในชีวิต  การ เลี้ยงดูเด็กให้ฐานกายมีการพัฒนาที่มั่นคงจำเป็นต้องให้เสรีภาพเด็กในการได้ ใช้ชีวิตของเขามากพอ การได้เล่นอย่างอิสระ จะส่งผลให้เด็กเติบโตอย่างมีความสุข จากฐานกายแข็งแรง และความสุขนี้จะอยู่เป็นภูมิคุ้มกันทำให้เด็กปรับตัวอยู่ในระบบหรือสังคมได้ โดยพ่อแม่จะต้องไม่ทำให้ความสุขที่อยู่ในตัวลูกหายไป


ฐานใจ วัย 8-14 ปีเป็นวัยของการพัฒนาความเข้าใจตัวเอง มีสติรู้เท่าทันตนเองและเท่าทันอารมณ์ของตนเอง เรียนรู้การอยู่ร่วมกันและพร้อมที่จะเติบโตต่อไป  เด็กควรใช้ชีวิตกับสิ่งที่จริงคือจริง ไม่จริงคือไม่จริง ซื่อสัตย์กับความรู้สึก ยับยั้งชั่งใจได้ ต้องเรียนรู้ที่จะอาศัยธรรมะจัดการกับอารมณ์ได้ ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง (Self esteem) เรียนรู้ที่จะรัก ชื่นชม และขอโทษผู้อื่นเป็น พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกแบบบังคับไม่สนใจอารมณ์ ความรู้สึกของลูก ลูกก็จะคิดไม่เป็นเพราะเค้ามีหน้าที่ทำตามอารมณ์และความรู้สึกของพ่อแม่ หรือพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบปกป้องลูกก็จะตกร่องอารมณ์ ซึ่งจะนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้



ฐานความคิด จะเบ่งบานที่สุดในวัย 15-21 ปี ฐานความคิดนี้เป็นการทำงานของสมองส่วนหน้าในการเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมี ความหมาย โดยธรรมชาติจะสร้างให้เด็กแข็งแกร่ง ยอมรับในธรรมชาติของโลก ก่อนไปเผชิญกับโลกภายนอก เมื่อถึงเวลาเด็กพร้อม จากฐานกายและฐานใจที่มั่นคง เด็กจะใช้พลังขับตัวเอง และพาตัวเองไปสู่ความเก่งและประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในที่สุด ดังนั้นการดึงเอาพลังขับของเด็กมาใช้ในเวลาที่ไม่เหมาะสม เด็กจะมีพลังขับได้เพียงชั่วขณะ 

ด้วยเหตุนี้การดึงพลังฐานความคิดเวลาที่เหมาะสมที่สุดจึงอยู่ในวัย 15-21 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เบ่งบานที่สุดนั่นเอง

จากแนวคิดดังกล่าวสรุปได้ว่า ฐานกายและฐานใจนั้นสำคัญที่สุด ฐานกายและฐานใจที่มั่นคงฐานความคิดจะพัฒนาได้เอง ฐานกายคือความสุขและฐานใจคือความดี มีสติเท่าทันอารมณ์ของตัวเอง เด็กจะได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างเบิกบาน มีความสุข และรู้จักความสุขที่แท้จริงจริงของตัวเอง มีความสุขในวัยเด็กให้จดจำ อยากเป็นคนดี เพราะการเป็นคนดีทำให้เค้าสามารถดำรงอยู่กับความสุขนั้นได้  สุด ท้ายเด็กก็จะเกิดพลังขับให้เกิดความเก่ง แต่สังคมในปัจจุบันพัฒนาเด็กในทางตรงกันข้าม ทุกวันนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเก่งให้เกิดขึ้นในตัว เด็กก่อน เพราะคิดว่าเก่งแล้วจะดีแล้วจะมีความสุข เราจึงได้เห็นคนเก่งที่คิดชั่ว เพราะเค้าไม่เคยมีความสุขของชีวิตในวัยเด็กให้จดจำ ไม่เคยเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความรู้สึกที่ดีๆ ที่มีต่อกัน อยากได้ลูกเป็นคนดีมีความสุขจึ้งต้องเริ่มที่การพัฒนาฐานกาย ฐานใจให้มั่นคงก่อน ท้ายที่สุดท่านก็จะได้ลูกที่เก่งดีมีสุขตามมา

เอกสารอ้างอิง

 

คนึงนิจ อนุโรจน์. (2556). เก่งดีมีสุข. เอกสารประกอบการสอนวิชา HRO 0003: Thinking Process and Morality System. คณะวิทยาการจัดการหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต  สาขาวิชากลยุทธการบริหารทรัพยากรมนุษย์และองค์กร  สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์.

แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2552-2559.Retrieved May 20, 2013, from http://www.sobkroo.com/detail_room_main1.php?nid=2349

Brandt, R. S., (1985). On Talent Development: A Conversation with Benjamin Bloom. Education Leadership. September 1985, Page 26-28.

MyFamilyThaiPBS. (2011 ).ครอบครัวเดียวกัน บ่มพลังเพื่อลูก ตอน 1 – 5. Retrieved May 20, 2013, from http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=wY054-4as7I



.....................

ดร.คนึงนิจ อนุโรจน์

 https://www.facebook.com/pages/Human-Resource-Guide-By-DrKhanuengnich-Anuroj/179154502127716?ref=hl

 

 

คำสำคัญ (Tags): #hr
หมายเลขบันทึก: 536542เขียนเมื่อ 20 พฤษภาคม 2013 16:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มีนาคม 2014 04:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ใช้ความรักความเข้าใจและธรรมชาติ คนเก่ง ดี มีความสุขสร้างได้จริงๆค่ะ

เยี่ยมเลยครับ..บทความนี้ขอบคุณมากครับ..

เป็นประโยชน์มาก ๆ ครับ ดร.พี่นิด ^ ^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท