เพื่อนๆคนไทยหลายคนถามผมเกี่ยวกับบทบาทและสถานะของอเมริกาในอนาคตที่ควรจะ เห็นและควรจะเป็น อย่างน้อยก็ในช่วงราวประมาณอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า โดยเหตุที่ปัจจุบันมีดาราหน้าใหม่อย่างจีน หรือไม่ก็อินเดีย สังกัดค่ายตะวันออกขึ้นมามีอิทธิพลต่อชาวโลกในด้านต่างๆมากขึ้น โดยเฉพาะที่เด่นๆเห็นจะได้แก่ ด้านเศรษฐกิจและด้านความมั่นคงหรือด้านการทหาร
ในช่วงที่ผ่านมาสื่อหลายสำนักและบรรดาผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์ถึง ประเด็นนี้กัน เพื่อประโยชน์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความสัมพันธ์ในระดับองค์กร และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งย่อมจะเกี่ยวเนื่องไปถึงการจัดลำดับความสำคัญ ในการร่วมทำธุรกิจ(deal) ในสาขาต่างๆ ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน
ขณะที่ในปัจจุบันเองนั้น บทบาทของอเมริกา ยังถือว่า มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดชะตากรรมของโลก
นอกเหนือไปจากความเสื่อมถอยทางด้านเศรษฐกิจของอเมริกาในช่วงต่างๆที่ผ่านมา กระทั่งถึงแม้ในเวลานี้ จนเป็นเหตุให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยพากันวิตก วิจารณ์ สำแดงทัศนะต่อความเป็นไปในอเมริกา ที่เชื่อมโยงออกไปถึงโลกหรือประเทศต่างๆ
ในด้านของความมั่นคง กรณีเหตุการณ์การสังหารโอซามา บิน ลาเดน ในปากีสถาน เมื่อไม่นานมานี้ ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงบทบาทของอเมริกาในโลกสมัยใหม่ อันหมายถึงประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยี ที่ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สำแดงถึงความมีอิทธิพลของอเมริกาต่อประเทศ อื่นๆ แม้จะมีการมองกันหลายแง่หลายมุมทั้งเชิงลบและเชิงบวก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในโลกปัจจุบัน “ความขัดแย้งในเรื่องลัทธิ อุดมการณ์รูปแบบสมัยใหม่”ยังคงมีอยู่ ขณะที่อเมริกายังคงรูปแบบการเผยแผ่อุดมการณ์ทุนนิยมเสรีเอาไว้ไม่เปลี่ยน นับแต่ยุคสงครามเย็นที่ผ่านมา
ผมอยากประเมินภาพและความเป็นไปของอเมริกาในโลกปัจจุบันและอนุมานคาดการณ์แบบ สรุปคร่าวๆ ถึงอนาคตในช่วงอีกราว 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า เท่าที่เห็นจากประสบการณ์ของตัวเองและมองผ่านการวิเคราะห์จากมุมของสื่อ ต่างๆ
1. ในด้านการเมือง ทั้งในและนอกประเทศ อเมริกาน่าจะยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมเกมการเมืองของโลกอยู่ โดยมีเหตุผลเนื่องมาจาก สภาพการเมืองภายในประเทศที่นิ่งอยู่ตัว จนกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองไปแล้วนั้น เปรียบเทียบกับจีน ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งที่ขึ้นมาท้าทายอิทธิพลด้านนี้ของอเมริกา เห็นได้ว่า การเมืองของจีน ยังไม่ถือได้ว่ามั่นคงอย่างแท้จริง ยังมีคลื่นใต้น้ำอยู่อีกส่วนหนึ่ง ทั้งในเรื่องความเห็นแย้งของประชาชนส่วนหนึ่งต่อแนวอุดมการณ์ของพรรค คอมมิวนิสต์ที่แม้ดูเหมือนว่าศูนย์อำนาจใหญ่ของจีนแห่งนี้ จะเปิดโอกาสให้ทุนเป็นตัวขับเคลื่อนในการพัฒนาได้มากขึ้นก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ นโยบายหรือการควบคุมก็ยังมาจากศูนย์กลาง ขณะเดียวกันจีนก็ยังมีความขัดแย้งภายในกรณีการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งยังไม่หายไป ดังนั้นการที่จะไปทำหน้าที่หรือบทบาทในต่างประเทศได้อย่างสมบูรณ์แบบ นับว่าไม่ง่ายนักสำหรับยักษ์ใหญ่เอเชียแห่งนี้ ขณะที่อเมริกามีประสบการณ์ด้านนี้มายาวนาน โดยเฉพาะการสะสมข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จนกลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญนำมาใช้ในทางการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดถึงการสามารถนำมาใช้ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง
3. ในด้านเทคโนโลยี ทั้ง 2 ประเทศ มุ่งแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่างๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนได้พัฒนาเทคโนโลยีรุดหน้าไปอย่างมาก โดยเฉพาะทั้งเทคโนโลยีด้านการทหาร การบินและอวกาศ รวมทั้งเทคโนโลยีด้านอื่นๆจำนวนมาก เพื่อก้าวให้ทันประเทศตะวันตก ซึ่งมีอเมริกาเป็นแกนนำ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเทคโนโลยีสามารถพัฒนาให้ตามทันกันทันได้ แต่ต้องอาศัยระยะเวลาที่นานพอสมควร ขณะเดียวกันอเมริกาเองก็พัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีล้ำหน้ามากขึ้นไปอีกจาก ฐานเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่ หลายๆเทคโนโลยี ที่อเมริกาพัฒนารุดหน้าไป แต่ยังคงเก็บไว้เป็นความลับ
4. ในด้านเศรษฐกิจ เป็นประเด็นขึ้นๆลงๆ หลายคนมองว่า โลกของตะวันออกโดยเฉพาะ จีนกับอินเดีย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจโต(ตามฐานประชากร)มากกว่าประเทศอื่นๆ จะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจในอนาคต โดยทั้ง 2 ประเทศมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการลงทุน สูงมากที่สุด ขณะที่เศรษฐกิจของอเมริกา ในช่วงราว 4-5 ปีที่ผ่านมาตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ทำให้มองกันว่า บทบาทของอเมริกาทางด้านนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะความอ่อนแรงจากการนำประเทศเข้าสู่สงครามในอาหรับทั้งอิรักและอาฟฆา นิสถาน รวมทั้งประเทศอื่นๆหลังจากสถานการณ์ใน 2 ประเทศนี้
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงการประเมินตามสูตร หรือมาตรฐานโดยทั่วไป วัดจากมูลค่าของจีดีพี การนำเข้าและส่งออก รวมทั้งระบบการไหลเข้าออกของเงิน ตามอย่างวิธีการปกติ หากยังไม่รวมถึงสินค้าหลายตัว ที่อเมริกาค้าขายอยู่ตลอดช่วงที่ผ่านมาโดยไม่ผ่านระบบศุลกากร หรือผ่านตามท่าต่างๆ เช่น สินค้าทรัพย์สินทางปัญญา สินค้าลิขสิทธิ์ สินค้าการศึกษา สินค้าอาวุธ และสินค้าซึ่งเป็นตัววัฒนธรรมอเมริกัน ซึ่งจำหน่ายออกไปทั่วโลก นอกเหนือไปจากบทบาทการกำกับในส่วนของภาคการเงินของโลกด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ครั้งล่าสุดที่ธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) พิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเพิ่มในตลาดเงินจำนวนหลายแสนล้านเหรียญ หลังจากที่ประเทศประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในเวทีโลกอย่างมากถึงกระทบกับประเทศต่างๆ ส่วนหนึ่งของผลกระทบส่งถึงจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ในเวลานี้ครอบครองพันธบัตรสกุลยูเอสดอลลาร์ไว้มากที่สุด ทำให้พันธบัตรดังกล่าวมูลค่าตก ทั้งนี้เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่สามารถพิมพ์เงินออกมา โดยไม่ต้องอิงฐานทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และทุนสำรองทองคำ เหมือนประเทศอื่นๆ จนอาจกล่าวได้ว่าอเมริกา ใช้ระบบการเงินควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลก ขณะที่จีน ยังต้องใช้เวลานานอีกหลายปี กว่าที่จะสามารถพัฒนาระบบการเงินให้ไปถึงขั้นนี้ได้
ขณะเดียวกัน โดยเหตุที่จีน เป็นประเทศที่มีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการผลิตขั้นแรกสูงสุด จึงยังจำเป็นต้องอาศัยตลาดใหญ่เพื่อระบายสินค้า และอเมริกายังเป็นตลาดสำคัญในการรองรับสินค้าจากจีน เรื่องนี้จึงเป็นไปในทำนองต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพากันและกัน
5. ในด้านวัฒนธรรม การเผยแพร่วัฒนธรรมของอเมริกันเป็นไปอย่างแพร่หลายผ่านสื่อประเภทต่างๆ ความจริงวัฒนธรรมเอเชีย โดยเฉพาะจีนเองก็มีแนวโน้มการเผยแพร่ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพียงแต่ยังมีจำนวนสื่อและระบบการตลาดที่เป็นรองฝ่ายอเมริกัน ต่อไปคาดว่าจะสามารถพัฒนาได้มากขึ้น ประเด็นวัฒนธรรมมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นสิ่งที่แสดงถึง “อิทธิพลครอบงำ” ความคิดและจารีตของชาติอื่นๆ เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เหตุผลกว้างๆเท่าที่ได้ประมวลมาดังกล่าวน่าจะเป็นเครื่องชี้วัดได้บางส่วน ว่า อเมริกาในทศวรรษหน้า จะเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ประเทศไทยควรกำหนดท่าทีอย่างไรต่อบรรดาประเทศที่ถือว่ามีอิทธิพลต่อโลกได้ อย่างถูกต้อง การให้น้ำหนักในการสัมพันธ์ด้วยอย่างเข้าใจบนฐานข้อเท็จจริงทั้งหมด
ผมเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาครัฐ คงเข้าใจว่า เราน่าจะต้องดีลกับค่ายแต่ละค่ายของประเทศมหาอำนาจใหม่ได้ถูกต้องอย่างไร รวมถึงภาคเอกชนด้วยเช่นกัน ในยามที่โลกต่อเชื่อมถึงกันทั้งหมด มากกว่ายุคใดๆที่ผ่านมา…
ไม่มีความเห็น