อันตรายของ “ชีวิต...”


คนเราทุก ๆ คนมีความอยากมาก “อยากอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ” มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ รวยเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีการแสวงหามีการเบียดเบียน ปลาที่มันอยู่ในทะเลในมหาสมุทรลึกเท่าไหร่ก็ไปเอาเค้ามากิน เอาเค้ามาบริโภค

อันตรายของเราทุก ๆ คนคืออะไรบ้าง...?

อันตรายของเราทุก ๆ คนก็คือพ่ายแพ้กิเลสของตัวเอง พ่ายแพ้ความอยากความต้องการของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราพ่ายแพ้ต่อนิวรณ์ทั้ง ๕ ที่มันเกิดกับจิตกับใจของเรา

ทุกท่านทุกคนน่ะแสวงหาความสุขความดับทุกข์ แต่กลับทำร้ายตัวเอง ทำลายตัวเองด้วยการไปทำตามความอยากความต้องการของตัวเอง “สิ่งนี้ข้าชอบข้าก็จะทำ สิ่งนี้ข้าไม่ชอบข้าก็จะไม่ทำ...”

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม  คือการทำร้ายคือการทำลายอนาคตของตัวเอง ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเปล่า ๆ นะ

คนส่วนใหญ่น่ะไม่เข้าใจเรื่องพระนิพพานเค้าเข้าใจแต่เรื่องสวรรค์


ความสุขความสะดวกสบาย ความร่ำความรวย มีหน้ามีตา มียศมีตำแหน่ง คิดว่าถ้ามีสิ่งที่กล่าวมานี้ก็คิดว่ามันเป็นความสุขมีความสุข ถ้ามีเงินมีสตางค์แล้วทุกอย่างมันจะดีหมด ไม่ต้องไปคิดอะไรมากเพราะเงินซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอารมณ์เหล่านี้ความคิดเหล่านี้ มันเป็นความคิดที่เป็นอารมณ์ของสวรรค์ สวรรค์มันมีอายุจำกัด เมื่อหมดบุญจากอารมณ์ของสวรรค์แล้วเราก็ต้องมีทุกข์อีกนะ

พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเราให้เราเป็นคนฉลาดนะ อย่าพากันไปติดแค่อารมณ์ของสวรรค์ เพราะสวรรค์นี้มีอายุจำกัด สวรรค์นี้ไม่จีรังยั่งยืน ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามุ่งพระนิพพานเพื่อไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกนะ

คนเราทุก ๆ คนมีความอยากมาก “อยากอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ” มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ รวยเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีการแสวงหามีการเบียดเบียน ปลาที่มันอยู่ในทะเลในมหาสมุทรลึกเท่าไหร่ก็ไปเอาเค้ามากิน เอาเค้ามาบริโภค

เครื่องอำนวยความสะดวกสบายน่ะ

น้ำมัน... มันอยู่ในพื้นดินตั้งหลายกิโลเมตรก็ไปเจาะไปขุดไปดูดเอาจนมันจะหมดแล้ว

ไม้น่ะ... ไม้ในป่าในเขาในที่ต่าง ๆ ไปตัดไปทำลายทั้งใช้เองทั้งจำหน่าย

แร่ต่าง ๆ น่ะ แร่ทองคำแร่อะไรสารพัดแร่ ใช้เทคโนโลยีใช้อุปกรณ์เจาะสำรวจ  จนหาได้น้อยแล้วเดี๋ยวนี้

สัตว์ป่านานาพันธุ์ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก มนุษย์ก็ทั้งบริโภคทั้งจำหน่าย

ที่อยู่ที่อาศัย แผ่นดินแย่งกันอยู่แย่งกันทำมาหากิน จนได้มีทั้งกฎหมายกฎหมู่  ก็เพราะความอยากความต้องการของมนุษย์ เพราะเราทุกคนนี้คิดว่าได้บริโภคปัจจัยทั้ง ๔  ได้บริโภครูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ คิดว่ามันเป็นสุดยอดของความสุข

พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาบอกเราทุกคนนะว่านี้ยังไม่ใช่ความสุขไม่ใช่ความทุกข์  มันเปรียบเสมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟกองเพลิง คนที่มีความอยากมีความต้องการก็ต้องมีความทุกข์มาก ทุกหลาย ทุกข์จริง ๆ

ปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่ความอยากของเราความต้องการของเรา ใจของเรามันไม่หยุด  ใจของเราไม่สงบ ใจของเราไม่เย็น ใจของเรามันวิ่งไปตามความอยาก ตามอารมณ์  ตามสิ่งภายนอก ตามสิ่งแวดล้อม

คนเราน่ะเป็นคนฉลาดมากมันก็ทุกข์มาก ถึงจะคิดได้ดีได้เก่ง หาได้ทรัพยากรได้มากกว่าเค้าแต่มันก็ต้องทุกข์เพราะว่าใจมันไม่สงบ ใจมันไม่หยุด ใจมันไม่เย็น

ศาสนาหลายศาสนาก็ยังสอนไม่ถึงเรื่องพระนิพพาน เอาความสุขจากการอยู่ดีกินดี  ของตัวเองแล้วก็ญาติพี่น้องพ้องบริวาร เอาความสุขกับการท่องเที่ยว หาเงินหาสตางค์  แล้วก็ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ท่องเที่ยวทะเล ท่องเที่ยวภูเขา ไปดูบ้านดูเมือง ทั้งวัตถุโบราณ ทั้งวัตถุสมัยใหม่ คิดว่าความสุขของคนของมนุษย์มันมีความสุขความดับทุกข์เพียงแค่นี้  คิดว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นความสุขความดับทุกข์ ที่แท้จริงก็คือพ่ายแพ้แก่กิเลส หลงกลลวง  ของกิเลส คิดว่าได้อยู่ดีกินดี ได้เที่ยวก็นึกว่ามีความสุขแล้ว สมัยใหม่ขึ้นมาอีกก็มีโทรศัพท์  มีไอโฟน ไอแพด


เราทุก ๆ คนก็พากันหลง หลงทั้งพระ เณร เถร ชี อุบาสก อุบาสิกา พากันลืมพระศาสนา ลืมศีล ลืมธรรม ลืมคุณธรรม กลายเป็นพระใจแตกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กลายเป็นเณรใจแตกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กลายเป็นแม่ชีใจแตกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเป็นคนมีปัญญาน้อยนะ เราคิดไม่ออก เราไปทำตามใจของเราทำตามความอยากของเราอย่างนั้นมันมีปัญหามีอันตราย ถ้าเราทำตามดังที่กล่าวมานี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมะมันเกิดไม่ได้ เพราะนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องพระศาสนา มันเป็นเรื่องสนองกิเลส ตัณหา อุปาทานนะ

เราได้ความสุขเท่านี้ เราได้ความดับทุกข์นี้เราอย่าคิดว่าเราพอนะ พระก็ไม่อยากไหว้ สวดมนต์ก็ไม่อยากสวดมนต์ ลงศาลาก็ไม่อยากลงอย่างนี้ คิดว่าตัวเองนี้เป็นคนใหญ่คนโต ว่าตัวเองละได้แล้ว ปฏิบัติได้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราคิดอย่างนี้เป็นความเห็นผิด  เป็นความหลงผิด เป็นอุปกิเลส เป็นวิปัสสนู ไม่ใช่วิปัสสนาที่ทำให้จิตใจเจริญ มันเป็นวิปัสสนูที่ทำให้ใจเราเสื่อม

ถ้าเรายังมีความขี้เกียจขี้คร้านอยู่ ถ้าเรายังกลัวระเบียบกลัวข้อวัตรปฏิบัติ  แสดงว่าใจของเรามันมีปัญหา ใจของเรามันมีสะดุด สะดุดก็แปลว่าหกล้ม ไม่หกล้มก็ซวนเซ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเรามันหมดกิเลสแล้วสิ้นอาวะแล้ว มันจะไม่มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ มันไม่กลัวการรักษาศีล ไม่กลัวนั่งสมาธิ ไม่กลัวทำวัตรสวดมนต์นะ

ถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากกิเลส ปฏิบัติสมควร ความรู้สึกนึกคิดมันจะไม่คิดอย่างนี้นะ ถ้ามันคิดอย่างนี้แสดงว่าเรายังไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องแก้จิตแก้ใจของตัวเองอีกนะ “เรายังไม่เป็นผู้มีความสุขในการปฏิบัติธรรมอยู่ ถือว่าเป็นผู้ความเครียดในการปฏิบัติธรรมอยู่มาก ๆ ...”

ผู้ที่บวชตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นผู้ถืออาชีพของนักบวช บวชนี้ก็แปลว่าปรับปรุงแก้ไข อบรม เพิ่มเติม พัฒนาทำให้ดีขึ้น เจริญขึ้น  

พระพุทธเจ้าท่านให้เราวางเป้าหมายชีวิตของเราว่า เราต้องคิดอย่างพระพุทธเจ้า  ทำอย่างพระพุทธเจ้า พูดอย่างพระพุทธเจ้า ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เราจะทำผิดแปลกแตกต่างจากพระพุทธเจ้าไปไม่ได้นะ มันไม่อยากทำเราก็ต้องทำ มันทำดีอยู่แล้วก็ทำดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตใจของตนให้ผ่องใส

พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกเราทุกคนว่า เรานี้นะอยู่ด้วยความคับแค้น อยู่ด้วยการแน่นหน้าอกจุกเสียดน่ะ จิตใจของเรามันกดมันดัน ท่านตรัสว่าอย่างนี้ดีแล้วอย่างนี้ถูกแล้ว อย่าได้ไปตามจิตตามใจตามอารมณ์ของเรา

การทำข้อวัตรปฏิบัติน่ะถ้ามันไม่เหนื่อยเราก็ไม่ได้อดไม่ได้ทน ถ้ามันไม่อยากมันก็ไม่ได้อดไม่ได้ทน ถ้าเราไม่เจ็บไม่ไข้ไม่สบายเราก็ไม่ได้อดไม่ได้ทน ไม่ได้ทำจิตทำใจ

เราพากันเข้าใจผิดคิดว่า เราต้องอดต้องทนต้องกลั้นต้องทนทุกข์ทรมาน มาอด ๆ  อยาก ๆ ไม่ได้กินสบาย ไม่ได้นอนสบาย ความคิดอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า  “เป็นความคิดเห็นที่ผิด”

เราอดเอาทนเอา ฝึกตัวเองเพื่อจิตใจจะได้ยอมรับเอาสิ่งที่ดี ๆ เพราะทุกวันนี้เราไม่รักความดี เราไม่ชอบความดี ทำความดีไปด้วยการฝืนการอดการทนการทรมาน  ยังไม่รู้คุณไม่รู้ประโยชน์

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราทุกคนอยากเป็นคนมีบารมี อยากสร้างบารมี แต่ไม่อดไม่ทนไม่ยับยั้งชั่งจิตชั่งใจ ถ้าเราไม่อดไม่ทนเราไม่ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะหาข้อวัตรข้อปฏิบัติ  เรามันจะเคารพนับถือตัวเราเองได้อย่างไร คนอื่นเค้าจะมาเคารพนับถือตัวเราเองได้อย่างไรแม้แต่ตัวเราเองก็ยังเคารพนับถือตัวเราเองไม่ได้นะ

เราเป็นคนเรียนมากรู้มากประสบการณ์มาก เราก็สร้างภาพหลอกลวงคนอื่นได้ หลอกลวงคนนี้เขารู้ทันก็ไปหลอกลวงคนใหม่ต่อไปได้ แต่เราจะหลอกลวงตัวเองไม่ได้  เพราะธรรมะเรามันไม่เกิด เพราะเราไม่ละความอยากจากจิตจากใจของเรา

เราทุกคนก็อยากเป็นนักเทศน์นักบรรยายเสียงดังโป้ง ๆ ๆ ๆ เพื่อเป็นประโยชน์  แต่มันบรรยายไม่ออกพูดไม่ออก เพราะว่าแผลที่ใจเรามันมีมากนะ

อย่างเรานี้พากันมาบรรพชาอุปสมบท พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราเดินตามรอยของท่าน ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นเหมือนที่พระส่วนใหญ่เขากำลังเป็นคนอยู่ บวชมาแล้วก็ยังอยากร่ำอยากรวย ยังอยากถูกหวยถูกเบอร์ ยังอยากมียศมีตำแหน่ง ยังอยากจะมีอะไรต่าง ๆ เหมือนกับฆราวาสญาติโยมเค้า ไม่มีใครทำร้ายไม่มีใครทำลายเรา ตัวเราเองเป็นคนทำร้ายตัวเราเอง เป็นคนทำลายตัวเราเอง เราเลยเคารพนับถือตัวเองไม่ได้

พระพุทธเจ้าท่านเน้นมาที่ตัวเรา จี้มาที่ตัวเรา ว่าทำดีก็ต้องได้ดี ทำดียิ่ง ๆ ก็ยิ่งได้ดียิ่ง ๆ ไม่ต้องวิ่งหาธรรมะนอกจากตัวของเราเอง เพราะธรรมะมันไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ในหนังสือหรือไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์ ไม่ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า มันอยู่ที่เราที่มาประพฤติมาปฏิบัตินะ


ปฏิปทาของเรานี้พระพุทธเจ้าท่านให้เราปฏิบัติสม่ำเสมอเหมือนลมหายใจ

ลมหายใจของคนเรานี้ต้องสม่ำเสมอ ถ้าไม่สม่ำเสมอแล้วมันตาย ฉันใดก็ฉันนั้น  ถ้าปฏิปทาไม่ดีเราทำความดีไม่สม่ำเสมอ มันก็ตายจากคุณธรรมจากคุณงามความดีนะ

ใจของเราทุก ๆ คนมันไม่สงบ มันอยากไปโน่นไปนี่ อยากโน่นอยากนี่ สารพัดอยาก กดดันทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องแล้วที่นี้ใจมันจะสงบใจมันจะเย็น มันจะไม่วิ่งตามวัตถุหลงตามวัตถุ มันจะไม่อยากไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ มันไม่อยากอวดอยากคุยว่าตัวเองรู้ตัวเองเห็น

เราทุกคนมีแต่เรื่องส่งไปข้างนอก พระพุทธเจ้าท่านให้เราธุดงค์ภายในจิตในใจนะ  ถ้าเราออกไปธุดงค์แต่ข้างนอก  ธุดงค์ข้างในเราไม่ฝ่าฟันอุปสรรค เราไม่มาแก้ปัญหาที่จิตที่ใจก็ชื่อว่าเราไม่มีศีล ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีธุดงค์ “ตัดมันออก ถางมันออกอะไรที่มันอยู่  ในจิตในใจของเรา”

โรคทางกายของเรานี้ก็พากันเป็นบ้างทุกคนน่ะ แต่ว่ามันไม่มากเท่ากับเป็นโรคทางจิตทางใจ เราเป็นโรคทางจิตทางใจกันมากนะ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าให้พากันไปพระนิพพานนะจะดับทุกข์ หมดการเวียนว่ายตายเกิดนี้ แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสอีกว่า  นี้เงินเยอะนะ ถ้าใครเอาไปจะเป็นมหาเศรษฐี นี้ทุกคนก็ไม่สนใจเรื่องพระนิพพานหรอก  สนใจแต่เรื่องจะเป็นมหาเศรษฐี

ครูบาอาจารย์ท่านพูดเรื่องมรรคผลพระนิพพานให้ฟัง โยมเฉย ๆ ถ้าพูดเรื่องร่ำ  เรื่องรวยน่ะ “หูกาง” กันทุกคน ทั้งคนรวยคนไม่รวยขอพรกันเป็นแถวเลย ไม่มีใครอายเลยนะ อยากจะพากันรวย พระเอามือเกาหัวก็ไม่ได้ ว่าเป็นเลขเป็นหวยไปหมด แจกลูกอมยังไปนับลูกอมว่ากี่เม็ด แจกนมไปก็ไปว่ามันแปลว่าอย่างไร บางคนก็ไปดูเลขที่กล่องนมว่ามันมีเลขอะไรบ้าง เลขมันก็ตามที่บริษัทเค้าทำเบอร์มาขายนั่นแหละนะ

พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาสอนเราฝึกให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ฝึกไม่มีไม่เอาไม่เป็น  ฝึกเป็นคนรักศีลรักธรรม พอใจในธรรม พอใจในการเสียสละ เรามันตามความคิดไปมาก  ตามอารมณ์ไปมาก มันบอบช้ำมามากมาหลาย ต้องพากันมาหยุด พากันมาเย็น  เพราะปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่เราวิ่งตามใจตัวเอง วิ่งตามอารมณ์ตัวเองนะ

ต้องพากันมาประพฤติปฏิบัติธรรมนะ เพราะชีวิตนี้ก็ถือว่ามันมีน้อยมาก อีกไม่นานทุกคนก็ต้องละลาจากธาตุจากขันธ์จากสรีระร่างกายนี้

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราทุก ๆ คนว่าอย่าไปหลงอย่าไปเพลินอย่าไปประมาท  พยายามมาปรับปรุงใจของเรา ปรับปรุงคำพูดของเรา ปรับปรุงกิริยามารยาทของเรา ปรับปรุงการกระทำของเราให้มันดีขึ้น เจริญขึ้น เพราะว่าไม่มีใครช่วยเหลือเรา มาปฏิบัติให้เรา “ตัวเองแลเป็นที่พึ่งของตนนะ...”

เราจะไม่ได้ไปโทษใครอีก... เราอย่าไปโยนความผิดให้คนอื่น ว่าพ่อแม่เราจน  ว่าครูบาอาจารย์ไม่บอกไม่สอน ว่าสมัยนี้มรรคผลนิพพานมันคงหมดไปแล้วมั๊ง  เราไปโยนความผิดให้คนอื่นหมด มันไม่ถูกต้องเลย มันไม่ยุติธรรมเลยนะ

เรามาบวชมาปฏิบัติกันน่ะก็หวังที่จะเป็นพระอริยเจ้ากัน ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ  เราจะพากันมาเป็นเปรตนะ เพราะดูแล้วน่ะเราจะสร้างโบสถ์ สร้างพระ สร้างกุฏิ  สร้างอะไรสารพัดสร้าง เราจะกลายเป็นเปรตประจำวัดไปแล้ว

เราไม่เน้นการประพฤติปฏิบัติ เราไม่ได้นำญาติโยมประพฤติปฏิบัติกัน เรามาเน้นเรื่องก่อเรื่องสร้างกัน เราเห็นมั๊ยตามป้ายตามถนนใหญ่ ๆ เดี๋ยวก็ผูกพัทธสีมา เดี๋ยวก็ตัดลูกนิมิต ทำโน่นทำนี่ทำอะไรกัน หาวิธีจัดกัมมัฏฐานปฏิบัติธรรมเพื่อหาเงิน จุดมุ่งหมาย  เพื่อก่อเพื่อสร้างไม่ใช่มุ่งมรรคผลนิพพาน อย่างนี้เค้าเรียกว่ามันเป็นอาการของเปรตที่แสดงออกจากพระ จากมัคทายกกันนะ เราไม่ได้เน้นเหมือนพระพุทธเจ้าที่ท่านเมตตาสั่งสอนเราเลยนะ เราจะพากันไปสร้างบารมีสร้างความดีสร้างการกุศล แต่ไปสร้างการกุศลภายนอกแต่ไม่ได้กลับมาหาปฏิปทาของเราเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราพากันทำไม่ค่อยจะถูก เพราะหลงวัตถุมากเกิน

พระใหม่ทุกท่านดีมากนะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านให้เราพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้มันดี ๆ ทำข้อวัตรให้ดีให้เยี่ยม ๆ นะ เพราะว่าเราบวชไม่นานต้องเอาให้ดีนะ  ความเหนื่อยความยากลำบากถือว่าเป็นสิ่งที่ดี อย่าไปสนใจมัน ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความดี ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดบุญเกิดกุศล เวลาเราสิกขาลาเพศไปเราก็ได้รับบุญใหญ่อานิสงส์ใหญ่ เวลาเราไปอยู่ในบ้านอยู่ในสังคมเราก็ตั้งใจทำงาน ตั้งใจทำความดีทุกอย่างมันก็จะดีหมด เพราะความดีจะนำเราสู่สุขคติ เพราะผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข อยู่ก็ดีไปก็ดี ทุกอย่างดีหมดนะ จำไว้ นี้เป็นโอวาทคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

ขออนุโมทนากับพระใหม่ทุก ๆ องค์นะที่พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราถือว่าชาตินี้เรามาปฏิบัติเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐเป็นสิ่งที่หาได้ยากนะ  พ่อแม่เราก็สุขใจดีใจว่าพระลูกชายนี้ปฏิบัติดีสุดยอดเลยนะ

ด้วยอำนาจคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอให้ทุกท่านทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง การงานงอกงาม มีจิตใจเข้าถึงความดี ถึงคุณธรรม บรรลุธรรม เข้าถึงมรรคผล  พระนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...



พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

ค่ำวันจันทร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 530623เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2013 08:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2013 08:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สาธุ ขอบพระคุณ ธรรมะดีๆในวันพระนี้เจ้าค่ะ

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท