กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ ดังนั้นนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ ก็คือ วัตถุแห่งกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล นั่นเอง
ประการแรกเราควรจะต้องเข้าใจว่า “เอกชน” ที่จะอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลต้องมีลักษณะอย่างไร เอกชน ที่จะอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ก็คือ บุคคลตามกฎหมายภายในของรัฐ ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับรัฐไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปบุคคลอาจมีความสัมพันธ์กับรัฐโดยตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐใน 2 ลักษณะด้วยกัน คือ ภายใต้อำนาจอธิปไตยเหนือบุคคล และภายใต้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน
การที่รัฐจะมีอำนาจอธิปไตยเหนือบุคคล ก็คือการที่บุคคลเป็นคนชาติของรัฐโดยการที่รัฐยอมให้บุคคลนั้นมีสัญชาติของรัฐ ซึ่งการที่บุคคลใดจะได้รับสัญชาติของรัฐหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับกฎหมายภายในของรัฐนั้นๆเป็นผู้กำหนด ถือเป็นอำนาจอธิปไตยของแต่ละรัฐ และการมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน เนื่องจากรัฐย่อมมีอธิปไตยเหนือดินแดนของตนอยู่แล้ว และบุคคลที่ยินยอมเข้ามาอยู่ในดินแดนของรัฐทั้งที่เป็นคนชาติ และที่ไม่ใช่คนชาติหรือคนต่างด้าว ย่อมอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐเช่นเดียวกัน
จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการเดินทางข้ามรัฐของคนชาติต่างๆให้พบเห็นกันอย่างมาก ดังนั้นในประเทศหนึ่งจะพบเห็นทั้งคนที่มีสัญชาติของประเทศนั้นและคนต่างด้าวปะปนกันไป เช่นในประเทศไทยมีคนต่างด้าวเข้ามาในประเทศไทยทั้งเพื่อมาทำงาน หรือเพียงเข้ามาท่องเที่ยวชั่วคราว ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เช่นเดียวกันกับคนไทยที่เข้าไปยังต่างประเทศทั้งเพื่อไปทำงานหรือท่องเที่ยว ในประเทศไทยเองจึงมีคนไทยและคนต่างด้าวให้เห็นกันทั่วไป ซึ่งย่อมนำมาสู่การเกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหากนิติสัมพันธ์ของเอกชนนั้น มีลักษณะระหว่างประเทศ ก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ดังนั้นรัฐหนึ่งๆ จึงควรมีการจัดสรรบุคคลหรือเอกชนที่อยู่ภายในดินแดนของตน เพื่อให้ทราบถึงสถานะและสิทธิของแต่ละบุคคลที่มีต่อรัฐ หรือที่รัฐต้องมีให้แก่บุคคลดังกล่าว
ซึ่งโดยทั่วไปคนชาติของรัฐย่อมที่จะมีสิทธิและสถานะภาพดีกว่าคนต่างด้าว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า “สัญชาติ” เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดสรรเอกชนออกจากกัน เป็นคนชาติของรัฐ และคนต่างด้าว และนอกจากนี้ ยังมีการใช้ “ภูมิลำเนา” เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดสรรเอกชนประกอบไปอีกด้วย เช่น คนต่างด้าวที่มีภูมิลำเนาในรัฐ ย่อมมีสถานะดีกว่าคนต่างด้าวทั่วไป เนื่องจากการมีภูมิลำเนาอยู่ในรัฐ แม้ไม่ได้มีสัญชาติของรัฐ แก่ก็มีความเกี่ยวพันกับรัฐเหนือกว่าการเข้ามาในรัฐเพียงชั่วคราว
โดยการจัดสรรเอกชนในประเทศไทย จากการแบ่งแยกตามสัญชาติ และภูมิลำเนาย่อมแบ่งแยกได้เป็นเช่นนี้
1. คนไทยที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย
2. คนไทยที่มีภูมิลำเนาในต่างประเทศ
3. คนต่างด้าวที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย
4. คนต่างด้าวที่มีภูมิลำเนาในต่างประเทศ
ดังนั้นการจัดสรรเอกชนก็คือการ แบ่งแยกบุคคลตามฐานะโดยการการใช้สัญชาติ หรือภูมิลำเนาของบุคคลนั้นเป็นเครื่องมือในการจัดสรร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทราบถึงสถานะตามข้อเท็จจริงของบุคคลนั้นในทางระหว่างประเทศ เพื่อใช้พิจารณาการกำหนดสิทธิ หน้าที่ ของบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การจัดสรรเอกชนจะทำให้ทราบถึงสถานะ ของบุคคล บุคคลใดเป็นชาติ และบุคคลใดเป็นต่างด้าว และ มีประโยชน์ต่อรัฐ ในการนำไปสู่การพิจารณากำหนดสิทธิ และหน้าที่ของบุคคลนั้นๆต่อรัฐ หรือที่รัฐต้องมีให้แก่บุคคลต่อไป เช่นพิจารณาสิทธิ และหน้าที่ ของเอกชนนั้นๆ เมื่อต้องเข้าทำนิติสัมพันธ์ในทางระหว่างประเทศ รวมถึงการรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศเมื่อเกิดข้อพิพาท หรือการขัดกันแห่งกฎหมายขึ้น เป็นต้น
* เพิ่มเติมอนุสัญญาระหว่างประเทศในเรื่องการจัดสรรเอกชนในทางระหว่างประเทศ
1. อนุสัญญากรุงเฮก ลงวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1930 ว่าด้วยปัญหาบางประการเกี่ยวกับการขัดกันแห่งกฎหมายสัญชาติ (Hague Convention on April 12, 1930 on Certian Questions relating to the Conflict of Nationality Laws)
2. อนุสัญญาแห่วกรุงมอนเตวิเดโอ ลงวันที่ 26 ธันวาคม
ไม่มีความเห็น