มาฆปุณมีดิถี ๑๕ ค่ำเดือน ๓ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ไปกราบพระพุทธเจ้า ต่างรูปก็ต่างไปโดยไม่มีการนัดหมาย ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าทุกท่านทุกคนประพฤติปฏิบัติตามล้วนแต่ได้เป็นพระอริยเจ้าบรรลุธรรมเป็นส่วนใหญ่
ทุกวันนี้เราพากันฟังเทศน์ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่บันทึกไว้ในตำรับตำรา ที่เอามาเทศน์มาสอน มีน้อยมากที่จะได้บรรลุธรรม
ถ้าเรามาวิเคราะห์ดูว่ามันมาจากสาเหตุอะไร...?
สาเหตุเพราะศรัทธาความเชื่อของเรามีน้อย มันเชื่อตัวเองที่มันสั่งสมมาเป็นเวลานาน สมัยครั้งพุทธกาลที่ได้บรรลุธรรมกันเยอะเพราะพระที่บรรพชาอุปสมบทส่วนใหญ่เกิดจากศรัทธา “คนเราถ้ามีศรัทธามีความเชื่อม เราก็ไม่ต้องลังเลสงสัย...”
อย่างพระภิกษุสามเณรที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นส่วนใหญ่ไม่มีการเรียน ไม่มีการศึกษามาก ท่านปฏิบัติตามโอวาทของครูบาอาจารย์ที่พาประพฤติพาปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ว่าอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้น ถ้าองค์ไหนรูปไหนปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์ สั่งสอนส่วนใหญ่ก็จะได้รับคุณธรรม มีความสำเร็จ
ผู้ที่ไปประพฤติปฏิบัติส่วนใหญ่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ให้เราอ่านหนังสือ ถ้าอ่านหนังสือมากมันจะทำให้เกิดความลังเลสงสัย “ท่านให้พระตั้งอกตั้งใจทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ...”
โอวาทพระปาฏิโมกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน “สัพพาปัสสะอะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง”
ส่วนใหญ่คนเรามีการทำบาป อย่างการดำรงชีพดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทำบาป อาหาร ที่เราพากันบริโภคส่วนใหญ่ได้มาจากการทำบาป เราบริโภคจำพวกสัตว์ จำพวกผักผลไม้ เวลาเขาปลูกเวลาผลิตล้วนแต่ทำให้พวกสัตว์เขาตาย สัตว์เล็ก สัตว์น้อย ยาฆ่าแมลงอะไร ต่าง ๆ ถ้าเราไปยินดีไปพอใจในรสอร่อย ยินดีพอใจในการบริโภค มันไม่เป็นบาปมาก มันก็ต้องเป็นบาปน้อย
พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราบริโภคอาหารเหมือนบุรุษสองผัวเมียที่มีลูกน้อยพากันเดินข้ามทะเลทราย เสบียงที่นำติดตัวไปมันหมด สองสามีภรรยาตกลงกันว่าเดินข้ามทะเลทรายคราวนี้เราต้องพากันตายแน่ทั้งสามคน เหตุปัจจัยที่จะไม่ตายก็คือบริโภคเนื้อลูกของตนเอง ที่ตายแล้วเป็นอาหาร สองสามีภรรยาเขาพากันบริโภคเนื้อบุตรของตนเองด้วยความจำเป็น เขาไม่มีความเพลิดเพลินในรสในชาดในความอร่อย พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันทำจิตใจอย่างนี้...
คนเราถ้าจะเอาความสุขความสงบจากการบริโภคปัจจัย ๔ มันไม่ค่อยปลอดภัย พระพุทธเจ้าท่านสอนเราเอาความสุขเอาความดับทุกข์กับการทำจิตใจให้สงบ เอาความสงบจากสมาธิ เอาความสงบจากการเจริญปัญญา
การเจริญปัญญาท่านให้เราเจริญอย่างไร...?
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของ ๆ ตน เรามีสมบัติประจำตัวของเรา ก็คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย เรานี้ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่ใช่ผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่คนหนุ่ม ไม่ใช่คนแก่ มันไม่มีเราเลย และมันก็ไม่มีคนอื่น สิ่งเหล่านี้สักแต่ว่าธาตุ ตามธรรมชาติเท่านั้น ตอนเด็ก ๆ เรียนหนังสือร่วมกัน ๑๐ ปี ๒๐ ปี ก็พากันแก่หมดแล้ว จำกันแทบไม่ได้ ทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ท่านไม่ให้เรามองคนอื่นเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย มันเป็นแต่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ความสุขมันก็ไม่มี เราทานข้าวทานอาหารพักผ่อนเพียงแต่บรรเทาทุกข์ เดี๋ยวอาหารเขาย่อยเขาสลายเดี๋ยวก็ทุกข์อีกหิวอีก
อาหารที่เราบริโภคนี้มันก็เป็นยาชนิดหนึ่ง อาหารนี้ท่านจัดว่าเป็นยารักษาโรค ที่อยู่อาศัยของเราก็เพียงให้เราได้พักผ่อนพอบรรเทาทุกข์ไปแค่นั้นเอง ถึงเราจะปฏิบัติ เขาดีเท่าไหร่เขาก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย คนเรานี้มีโรคสารพัดอย่าง คนที่จะไม่มีโรค มันไม่มี ไม่ว่าโรคทางกาย โรคทางใจ
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราภาวนาว่า “เรามีความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา” ไม่ต้องไปคิดไปดิ้นรน ท่านให้เรายอมรับความจริง
เมื่อเราสมัครเกิดมาเราก็ต้องยอมรับความเจ็บไข้ไม่สบาย รักโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิด กับเรา ถ้าเราไปดิ้นรนไม่ยอมรับความจริง เราจะต้องเป็นโรคทั้งทางกายและทางใจ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนี้มันจำเป็นที่จะต้องกำหนดรู้ เราจะไปแก้ไขมันไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่จิตใจ ยอมรับในความแก่ ความเจ็บ ความตาย ใจของเราจึงจะมีความสุขมีความสงบ ถึงจะทำที่สุดแห่งกองทุกข์ได้ คือเราต้องพากันปฏิบัติ ที่จิตที่ใจ อย่าพากันไปรับเอาความแก่ ความเจ็บ ความตายมาทับถมจิตใจ
เรื่องความเจ็บก็ให้เป็นเรื่องของความเจ็บ เรื่องความแก่ก็ให้เป็นเรื่องของความแก่ เรื่องความตายก็ให้เป็นเรื่องของความตาย อันนี้เป็นเรื่องทางกายไม่ใช่เรื่องทางใจ
เรื่องทางใจคือเราต้องฝึกใจของเราให้สงบ อย่าพึ่งไปวุ่นวายตามทางร่างกาย อย่าไปวุ่นวายกับสิ่งต่าง ๆ ที่มันเป็นเรื่องภายนอก เรื่องดูหนังฟังเพลง เรื่องพูดคุยต่างๆ มันเพลินไปกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้นเอง มันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความหลงชั่วคราว สุดท้ายเราก็มาทุกข์อย่างเก่า
ถ้าเราไม่ได้เจริญปัญญาให้จิตใจของเราให้มันสงบ ถ้าเราไปใจอ่อน สมาธิไม่แข็งแรง เราก็ไปรับเอาอารมณ์ของคนอื่น ไปรับเอาอารมณ์สุขทุกข์ทางกายมันก็เลยกลายเป็น ความวิตกกังวล สร้างโรคสร้างภัยให้กับตัวเองให้ทุกข์เข้าไปอีก เพราะร่างกายของเรามันไม่ได้พักผ่อน มันไม่ได้นอนหลับ
เมื่อเราไม่ทำบาปทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเกิดปัญญาเพื่อฝึกละฝึกปล่อยฝึกวาง
เราทุกวันนี้ไปทำงานก็ไปทุกข์กับเรื่องทำงาน ว่ารถมันติด ว่างานหนักไม่ได้พักผ่อน
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา รถติดก็ให้มันติด เราทำงานให้กายมันเหนื่อยแต่ใจของเรามันไม่มีคำว่าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย ที่ว่าเหนื่อยไม่เหนื่อยคือความหลงคือความคิดคืออุปาทานของเรา
เราไปทำงานคนนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เราก็ไปทุกข์กับเขาอีกแล้ว
เราทำงานอยู่ในบ้านเมืองในสังคมก็เจอกับคนแบบนี้ เขาจะดีจะชั่วมันเป็นเรื่องของเขา พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราไปเอาอารมณ์ดีหรือไม่ดีมาแบกมายึดมาถือ
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้ฝึกรักคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่น ให้มีความสุขในการทำงาน สุขในการเสียสละ สมาทานไว้ในใจนะว่าชาตินี้เราจะไม่นินทาใคร เพราะคนเราอยู่ด้วยกันเกิน ๒ คน ชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์มานินทา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เราทำบาป ทำกรรม
เราพยายามดูแลตัวเอง บริหารตัวเอง พยายามเป็นคนไม่ทำบาปทั้งปวง ต้องเป็นคนเสียสละ อริยมรรคมีองค์ ๘ คือหนทางเดินของพระอริยเจ้า อริยมรรคทุกข้อนั้นท่านล้วน ให้เรามาแก้ไขตัวเองทั้งหมด ปรับปรุงตัวเองทั้งหมด ไม่ให้เราไปแก้ไขคนอื่น ถ้าเราเป็นคน ไม่ละเอียด มีความอยากมาก มีความต้องการมาก เคยทำอะไรได้ตามใจมันก็จะนำตัวเอง ไปในทางที่ตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าสอน
คนที่จะมีจิตใจที่ละเอียดเขาจะทำอะไร จะพูดอะไรเพื่อที่จะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง มีความเกรงกลัวต่อบาป มีความละอายต่อบาปทุกคนนะ
มนุษย์เรานี้มีเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อปกปิดอวัยวะที่เกิดความละอาย แต่ความละอายตัวนี้มันเป็นเรื่องภายนอก พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นเข้ามาภายใน ละอายต่อบาปด้วยเจตนา
เรื่องจิตใจที่จะต้องแก้ไขเป็นเรื่องของเรา เราคิดอะไร ปรุงแต่งอะไร กินไม่ได้ นอนไม่หลับคนอื่นไม่รู้เท่ากับเรา ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เราตกไปสู่อบายในทางที่ชั่ว
การประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านเน้นไปที่จิตใจ เน้นไปที่ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราอย่าเป็นคนกล้า กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่เป็นบาป เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นผลให้กับจิตใจ เป็นผลให้กับการเวียนว่ายตายเกิดของเรา
ทุกวันนี้ทุก ๆ คนตกเป็นทาสของอวิชชาคือความหลง เวลาจะพัฒนาตัวเองมันคิดว่าตัวเองนี้ไม่ได้รับความยุติธรรม ไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพ อันนั้นมันเสรีภาพของกิเลส เสรีภาพของความโลภ ความโกรธ ความหลง
การประพฤติปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ มันก็ยากลำบาก เราทำความเห็นให้ถูกต้องใจของเรามันก็สงบ กิเลสตัณหาอวิชชามันก็ครอบคลุมครอบงำเราไม่ได้ เพราะเราหนักแน่นเราเข้มแข็ง เราเอาจริงเอาจัง ชีวิตเรามองให้กับความดีความเสียสละ ถึงจะตายก็ช่างหัวมัน เพราะเรา ได้มอบชีวิตให้ต่อคุณพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นผู้ที่ไม่ได้ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ
ทุกคนอยากรวย อยากเป็นมหาเศรษฐีจะได้สร้างความดีสร้างบารมีช่วยชุมชน สร้างสาธารณะประโยชน์ เราเป็นมหาเศรษฐีมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์ของสวรรค์ มีความสะดวกสบาย มีคนรับใช้ มีคนเกรงในอำนาจเงินตรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มันก็ไม่ยิ่งเท่ากับจิตใจของเราเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบัน เพราะผู้เข้าถึงพระโสดาบันจิตใจสงบกว่า เย็นกว่า สิ่งสำคัญคือมันปิดอบายภูมิ ไม่ต้องตกนรกอีก คนร่ำรวยทั้งเงินทองทรัพย์สมบัติตายไปส่วนใหญ่ก็ต้องไปนรกเพราะหลงในความสะดวกสบาย ทำบาปทำกรรม ทำอาชีพบนหลังคนยากคนจน
ถ้าเราเป็นคนจนอย่างนี้มันก็ยิ่งลำบากทั้งกายทั้งใจ คนจนมันทุกข์อีกหลายต่อเหมือนกัน ทุกข์ทั้งภรรยาทุกข์ทั้งสามี ทุกข์ทั้งลูก มีเหล้าขาวเหล้าแดงเป็นที่ตั้ง มันทุกข์มาก ทุกข์หลาย...
พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
ค่ำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๖
ไม่มีความเห็น