พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์
ในโลกนี้มีความจริงอยู่ 2 อย่างคือ สมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ(ทัศนะของพุทธเถรวาท) หากมองในเชิงการเมืองก็อย่างเช่นการกำหนดนโยบายต่างๆ การดำเนินกิจกรรมใดๆย่อมเกี่ยวข้องกับสัจจะทั้งสองอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดแท้แต่ว่าจะให้น้ำหนักด้านไหนมากกว่ากัน หากมุ่งด้านสมมติสัจจะก็ จะไปทาง(เรื่อง)โลก “ตาเนื้อ” เช่น ให้ความสำคัญต่อเรื่องประชานิยม(หมายถึงผู้ที่ให้ความสำคัญนี้เป็นทั้งใน ส่วนของนักการเมืองและประชาชนในประเทศ) เป็นต้น หากเป็นด้านปรมัตถ์ก็เป็น”ตาใน” คือให้ประชาชนรู้เท่าทันต่อสิ่งต่างๆ หรือรู้ความจริงของสิ่งต่างๆ ได้แก่ ความรู้เชิงลึก วิชาการเกี่ยวกับความจริงทางการเมืองทั้งหมด ทั้งที่ซับซ้อน(เชิงลึก)และไม่ซับซ้อน
เกี่ยวกับการมองโลกหรือการใช้ชีวิตให้เป็น ซึ่งทางพุทธเรียกว่า หลักของทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) หากหนักไปทางใดทางหนึ่งก็ได้ชื่อว่า ใช้ชีวิตไม่ถูกต้อง การมองโลกที่ว่านี้เป็นอย่างไร เปรียบเทียบในแง่ทางการเมืองก็ย่อมจะได้ สัจจะทั้งสอง มีอยู่จริง และเป็นสาเหตุของความขัดแย้งทางด้านความคิดเห็นตามบุคคลและตามสถานที่ ต่างๆอยู่เนืองๆ
ในแง่สมมติสัจจะ ก็คือ การดำรงอยู่ ความต้องการดำรงอยู่ ความเป็นตัวตนที่เห็นได้ทางตาเนื้อ หากประชาชนหรือนักการเมืองไม่เข้าใจต่อเรื่องนี้ ก็ทำให้เกิดความไม่สมดุลคือ ให้ทุกข์ให้โทษต่อตัวเองและผู้อื่นในสังคมร่วมได้ เพราะนี่ยังเป็นเรื่องของโลก พรรคที่การเมืองเองหากต้องการที่จะได้รับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ต้องเอาใจประชา จนเกิดเป็นประชานิยมกันขึ้นมา ซึ่งก็เป็นกันทั่วโลก สุดแท้แต่ว่า มากน้อย แม้กระทั่งประเทศที่ปกครองด้ยระบอบคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีเว้น หากไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลหรือผู้ปกครองก็ดำรงอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน
ในส่วนของปรมัตถ์ หรือตาใน พูดเปรียบเทียบในแง่การเมือง หมายถึงความเข้าใจต่อระบบการเมือง และส่วนที่เกี่ยวโยงกับการเมืองในระดับลึก หรืออาจเป็นในเชิงเทคนิคการคิดแบบแยกส่วน(วิภัชวาท) อาศัย การวิเคราะห์ วิจัย ในระดับที่ลึกซึ้ง ซึ่งผลที่ออกมาก็ย่อมมีทั้งดีและไม่ดีปนคละเคล้ากันไป จึงต้องนำมาเลือก คัดกรองในส่วนที่เห็นว่าดี ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างเช่น ความไม่ง่ายสำหรับคนทั่วไปในการมองถึงนโยบาย หรือโครงการ (ทุกนโยบายเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ได้-เสีย ของพรรคการเมืองและของประชาชน) ของพรรคการ เมืองว่า ส่งผลกระทบต่อส่วนตัวและสังคมในระยะสั้น ระยะยาวอย่างไร เหตุปัจจัยเชื่อมโยง ตลอดถึงกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม หากคำนึงกันถึงแง่ปรมัตถ์ เพียงอย่างเดียวโดยไม่เอาสมมติแล้ว การใช้ชีวิต หรือการจะได้มาซึ่งการนำนโยบาย หรือความต้องการในการบริหารประเทศ ก็ย่อมเกิดขึ้นยาก หมายถึงหากเข้าใจต่อชีวิตและโลกอย่างตรงและเข้ากับความเป็นจริง พรรคการเมืองและนักการเมืองก็มีโอกาส ได้ตำแหน่งทางการเมืองสูง หรือที่เรียกว่าการเล่นไปตามกระแสสังคมนั่นเอง แต่หากไม่เข้าใจ พรรคการเมืองหรือนักการเมืองก็มีโอกาสน้อยในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ตามที่ตัวเองประสงค์ ผลก็คือ ไม่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนนั่นเอง
เมื่อพิจารณาถึงความสมดุลหรือหลักทางสายกลางแล้ว งานด้านการเมืองจึงต้องเข้าใจในสัจจะทั้งสองข้อที่ว่า ในมุมมองพระพุทธศาสนา เสมือนการเผยแผ่ธรรมของพระพุทธองค์ หลักปรมัตถ์ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจได้ยากส่วนหลักสมมตินั้นพูดง่ายกว่า เพราะเห็นด้วยตา และโดยผัสสะทั่วไป แต่หากมองเรื่องการเผยแผ่หลักคำสอนให้ได้ผลอย่างกว้างขวางแล้ว พระพุทธองค์ทรงใช้ทั้งสองหลักในการแจกแจงธรรม ต่อคนที่ทรงคิดว่าพวกเขารับได้ ในหลากหลายระดับ การเผยแผ่จึงได้ผลอย่างมากในยุคนั้นและยุคต่อๆมาที่เหล่าพระสาวกได้นำหลัก การเดียวกันนี้มาใช้
คำว่า”ประชาธิปไตย” ยังเป็นเพียงแต่ ตาเนื้อ เพราะดำเนินไปตามเสียง หรือจริต หรือแฟชั่น(ความนิยมเป็นยุคๆไป) เพียงแต่เราไม่มีระบบอื่นใด ที่จะกระทำการตามความต้องการของมวลชนได้ดีไปกว่านี้
นี้ขอให้ได้คิดว่า แม้แต่ระบอบคอมมิวนิสต์ ก็เป็นประชาธิปไตยเชิงหนึ่ง คือ คนส่วนใหญ่ในประเทศเขาต้องการระบอบนี้ ไม่เช่นนั้น ระบอบคอมมิวนิสต์นี้ ก็คงล้มไปตั้งนานแล้ว หากว่าคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการ หรือทำให้พวกเขาเดือดร้อน แม้รัฐบาลจะเผด็จการเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจอยู่ได้ยาวนานเลย สามารถพิจารณาสอบสวนได้จากเหตุการณ์ส่วนใหญ่ในประวัติศาตร์
ส่วนที่มีการพูดเรื่องของธรรมาธิปไตย(อยู่ในชั้นปรมัตถ์หรือตาใน) นี้ก็มีอยู่จริง แต่เป็นแค่อุดมคติทางการปกครองหรือ ในจินตนาการการปกครองเท่านั้น ทำได้จริงในแง่ปัจเจกเท่านั้น คือ โดยรวมแล้วไม่สามารถทำเป็นระบอบการปกครองได้ เพราะคนประกอบไปด้วยนานาจิตตัง นานาสังวาส เป็นเรื่องกระบวนการภายใน จึงล่าสุด ระบอบประชาธิปไตยน่าจะเป็นระบอบที่ดีที่สุด เท่าที่สามารถปฏิบัติหรือใช้ได้จริงในแง่ของสมมติสัจจะ ในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม ควรที่จะขวนขวาย ส่งเสริม ให้คนหรือประชาชนได้เข้าถึงปรมัตถสัจจะทางการเมืองกันให้มากขึ้น เข้าใจแยกแยะ วิเคราะห์ วิจัย ให้รู้เท่าทันนอกเหนือไปจากสมมติสัจจะ ที่เห็นง่าย และอาจกลายเป็นพวกมากลากไป ถึงแม้พวกมากลากไป(ประชาธิปไตย หรือโลกาธิปไตย) ก็ขอให้รู้เท่าทันว่า อ๋อ นี่ระบอบนี้ มันคือ พวกมากลากไป หากรู้ในระดับนี้ได้การใช้ชีวิตท่ามกลางดงการเมืองที่เราไม่มีวันปฏิเสธ ได้ก็จะสมบูรณ์มากขึ้น ลดข้อขัดแย้งในเชิงการเมืองลงได้มากขึ้น นั่นเอง
รวมถึงลดความทุกข์ ของตัวเอง จากสิ่งต่างๆ เช่น ความคาดหวังต่อระบอบ ต่อนักการเมือง ต่อรัฐบาล ทำไมต้องเป็น(พวก)เขา ไม่เป็น(พวก)เรา ฯลฯ ได้มากเช่นเดียวกัน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ระบอบใดๆในโลก มันก็ไม่สมบูรณ์ สมความต้องการของทุกคนไปได้อยู่ดี อย่างผู้ปกครอง นี่ไม่มีก็ไม่ได้ มันจะอิรุงตุงนังไปหมด กลายเป็นอนาคิสต์ไป ขอให้รู้ว่ากำลังเล่นกันอยู่สมมติสัจจะ , เพื่อขจัดความทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์ที่เกิดจากความขัดแย้งด้านความคิด และด้านปฏิบัติการ จนนำไปสู่การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ที่น่าคิดและน่าสนใจมากๆ ก็คือ การเมืองเป็นหลักเดียวกับหลักปฏิจจสมุปบาท หรือหลักวงจรสัมพันธ์เกี่ยวโยง หรือปัจจยาการ ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ คนหรือประชาชนกำหนดระบอบของพวกเอง คนนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นคนส่วนใหญ่ หรือมหาชน คนหมายถึงอะไร หมายถึงชีวิต จารีต วัฒนธรรม ประเพณี เช่น พอพูดถึงคนไทยก็รู้เลยว่า นี่คนไทย ไม่ได้มองแค่ชีวิต(ชีวะ) เพียอย่างเดียว มองถึงวิถีชีวิตด้วย ก็หากเป็นเช่นนี้ เมื่อพูดถึงกฎเกณฑ์แห่งประชาธิปไตยของคนแล้วก็ย่อมแตกต่างกันออกไป ตามวิถีชีวิตของชนเหล่านั้น ผมหมายถึงไม่สามารถมองแบบตัดตอนวงจรปัจจยาการนี้ได้เลย เช่น นักการเมืองเป็นอย่างไร ประชาชนก็เป็นอย่างนั้น เป็นต้น นี่ไม่ได้หมายถึงทุกคน แต่หมายถึงว่าประชาชนหรือสังคมร่วมส่วนใหญ่เขาเป็นกันอย่างนี้
ส่วนหากจะเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งและวิธีการจัดการเลือกตั้งไม่เหมือน อย่างปัจจุบัน ย่อมหมายถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องเอาด้วย ถ้ามีคนนำเสนอ ทีนี้มันไปไม่ถึงแบบที่ว่า หมายความว่า คนส่วนใหญ่ยังมองไม่ออกถึงปรมัตถสัจจะบางตัว ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก มองเห็นได้ยาก ส่วนใหญ่มองแค่สมมติสัจจะในกาลปัจจุบัน ก็เพราะส่วนใหญ่ยังเห็นเป็นเช่นนี้ ถึงมีการเสนอการเลือกตั้งแบบนี้(ปัจจุบัน)ออกมา ยอมรับรูปแบบนี้กันได้ แสดงว่าเขายังรับแรงเสียดทานทางการเมืองบางประการได้ อย่างเช่น “กรณีเงินหรือตำแหน่งเป็นใหญ่หรือเป็นช่องทางในการได้มาซึ่งตำแหน่งทางการ เมือง”ได้อยู่ กติกาการเมืองถึงไม่เปลี่ยนไปไหน ยังคงใช้อยู่ แต่หากว่า ประชาชน ทนแรงเสียดทานนี้ไม่ไหว มันก็ต้องเปลี่ยนไป ไม่ช้าก็เร็ว
แนวปรมัตถธรรมทางการเมือง คนส่วนใหญ่เห็นยาก เข้าใจยาก และทำยาก ผมมองว่า การใช้ชีวิตในโลกให้มีความสุขพอสมควรนี่ คนต้องเข้าใจทั้งสองอย่าง คือ สมมติกับปรมัตถ์ เพราะมันมี สองซีก ที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง จะละเลยไม่เข้าใจก็ไม่ได้ แบบสมมติสัจจะน่ะ เราเห็นกันอยู่แล้วด้วยตาเป็นๆ เหมือนที่ชาวบ้านทั่วไปเห้นกัน แต่เราไปฝืนไม่ได้ เพาะเรายังอยู่กับชาวบ้านเหล่านี้ หรือสังคมไปจนกระทั่งตาย หากไปฝืนมันก็เป็นทุข์ทางความคิด แต่หากไม่ฝืน หรือส่งสัญญาณใดๆออกมาเลย การเมืองในภาคปรมัตถ์ ก็เกิดมีขึ้นแก่หมู่ชนไม่ได้
ผมอยากจะเสริมอีกนิดหนึ่งคือ ราชาธิปไตย หรือการปกครองแบบราชา แบบบุราณมาแล้วนี่ คือ การปกครองแบบประชาธิปไตย ราชา รากศัพท์เดิม แปลว่าพอใจ ต่อมา แผลงเป็นหัวหน้า หรือผู้นำ เพราะราชาสมัยเมื่อก่อนได้จากเสียงหรือมติของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการให้มีตำ แหน่งนี้ คือ ประชาชนให้ด้วยความพึงพอใจนั่นเอง ไม่พอใจก็ ทุราชา ประชาชน ก็ขับไล่ออกไป เปลี่ยนคนใหม่แทน เพียงแต่ไม่มีวาระ 4 หรือ 6 ปีเหมือนนักการเมืองหรือตำแหน่งต่างๆที่มีเป็นวาระๆอย่างปัจจุบัน ราชาสมัยครั้งกระโน้นเรียกได้ว่าอยู่ในตำแหน่งจนกระทั่งคนส่วนใหญไม่พอใจ จะสืบทอดไปถึงลูกหลานก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่ต้องคงความพอใจอยู่ จึงจะอยู่ในตำแหน่งได้ เพียงแค่ชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตย เป็นพื้นฐาน หรือยิ่งใหญ่มาสมัยไหนต่อไหนแล้ว
สมมติ คือ สิ่งที่ตกลงร่วมกัน เช่น ให้ชื่อ ว่าร่างกาย ให้ชื่อว่า ประชาธิปไตย พอพูดขึ้นมานี่ โอ๊ะ มันเป็นที่รับรู้กันเลย แต่ปรมัตถ์เนี่ย บอกเลย ไอ้ที่เดินๆอยู่นะ มันไม่ใช่ร่างกาย คือรูปคือนาม ตะหาก คนส่วนใหญ่เค้าก็ โห..ไรหว่า ไม่เข้าใจอ่ะ เพราะไม่ได้ตกลงไว้ร่วมกันทั้งโลก กลายเป็น สิ่งทาบซ้อนไป อย่างดีก็คนที่นับถือพุทธศาสนาอาจรู้บ้าง แต่คนทั่วไปไม่รู้ ประชาธิปไตย จึงแค่ การสมมติ คือ พอพูดก็รู้กันหมดทั่วโลกว่าเป็นอย่างไร แต่จัดเป็นสมมติ ที่มนุษยชาติไม่รู้ว่าจะเอาระบอบไหนที่ดีกว่านี้มาใช้อีกแล้ว หากจะเอาปรมัตถ์ คือ แบบดีสูงสุด ของคนหมู่มาก คือ คนดีทั้งหมด ก็คงเหมือนหาหนวดเต่าเขากระต่าย
ผมอาจผิดไปบ้าง ตรงที่บอกว่า มีแต่สังคมที่สมบูรณ์แบบปรมัตถ์นั้นมีอยู่ในอุดมคติ ที่ถูกแล้วมีอยู่ แต่ผมไม่แน่ใจว่าหากพูดโดยองค์รวมของศาสนิกทั้งหมด คือ สังคมของพระอริยเจ้า หรือผู้ที่บรรลุอมตธรรมแล้ว อย่างในพุทธกาล “คณะสงฆ์ที่ประกอบไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหมด” ต้องตั้งชื่อกันเป็นแบบ proper noun(ชื่อเฉพาะ) ที่เดียว เพราะหาไม่เช่นนั้น แม้แต่ครั้งพุทธกาลที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ ก็ยังมีปัญหาให้ต้องแก้ จนกระทั่งเกิดเป็นอาบัติ หรืออะไรต่างๆที่เป็นกฎเกณฑ์ บังคับกันอยู่เลยและใช้กันมาจนถึงเวลานี้
และหากจะว่าไปแล้วแม้แต่ชนชั้นอริยะที่ว่า ก็ยังต้องอาบัติ แบบเบาๆ แล้วแต่กรณีอยู่เลย จึงไม่น่าจะมีความสมบูรณ์ในแง่ของสมมติสัจจะ ส่วนปรมัตถ์ นั้นเป็นเรื่องของสภาวะ, ความคิด หรือภูมิธรรม ภายในของแต่ละคน
เมื่อมองในแง่การเมือง ก็จะชี้ว่า คนเหล่านั้น เข้าใจการเมือง มากน้อยขนาดไหน หน้าที่(ที่ตัวเองทำ) สุข ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ล้วนเป็นผลพวงจากความเข้าใจต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
ที่มา : ถอดจากบทสนทนาของพีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์ บนหน้า Facebook / Pete Pongpipattana กับ เรืองเดช จันทรคีรี และทองธัช เทพารักษ์ ส่วนหนึ่งของการจุดประเด็นนี้โดย เสวี เรืองตระกูล (แคลิฟอร์เนีย) เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2554
ไม่มีความเห็น