ต้องถือว่าภายหลังเหตุการณ์ล้อมปราบของทหาร ในเหตุการณ์เมษายนและพฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย ภายใต้การนำของประธาน คือ นางอมรา พงศาพิชญ์ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงการทำหน้าที่ในฐานะของผู้นำองค์กร อิสระสำคัญเฉกเช่นหน่วยงานนี้
ในอเมริกา ให้ความสำคัญต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างมาก ถึงกับมีหน่วยงานด้านนี้ ทั้งในองค์กรการปกครองระดับท้องถิ่นหลายๆระดับและการปกครองระดับรัฐบาลกลาง หรือระดับประเทศ
วัฒนธรรมอเมริกันเองก็ถือหลัก สิทธิมนุษยนชนว่าสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ ทั้งโดยตัวกฎหมายสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญและระบบวัฒนธรรมของอเมริกันเอง
ความจริงประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทยคนปัจจุบัน ก็เป็นผู้หนึ่งที่สำเร็จการศึกษาระดับสูงจากอเมริกา ดังนั้นไม่มากก็น้อย น่าจะเป็นเหตุทำให้น่าเชื่อได้ว่า ย่อมต้องได้รับการซึมซับ เรื่องราวเชิงความรู้และเชิงวัฒนธรรม ค่านิยมด้านสิทธิมนุษยนชนของอเมริกันมาก่อนอย่างแน่นอน
ซึ่งว่าไปแล้วเรื่องราวพวกนี้ เป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่พึงมีพึงได้ ในฐานะของการเป็นมนุษย์ที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง ทั้งเป็นเรื่องที่เป็นสากล คือ เหมือนกันหมดทั่วโลก
ผมเชื่อว่า เมืองไทยเองตระหนักถึงเรื่องนี้ว่ามีความสำคัญ จนเกิดเป็นคณะกรรมการสิทธิฯมาตั้งแต่ปี 2544 พร้อมกับข้อกำหนดเรื่องอำนาจหน้าที่
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว หากไม่เกิดเหตุการณ์ล้อมปราบฯใหญ่ครั้งล่าสุด คนไทยหลายๆคน คงไม่มีใครรู้ว่า คณะกรรมการสิทธิฯในเมืองไทยนั้นมีอยู่ รวมถึงบทบาทหน้าที่ว่ามีอย่างไรบ้าง
แหละเป็นเหตุให้ที่ผ่านมา ทั้งสื่อและประชาชนมีคำถามมากมายต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการอิสระแห่งชาติชุดนี้
เหมือนกับที่ประชาชนทั่วไปหรือองค์กรประชาชนที่เดือดร้อนเกี่ยวกับการถูก เบียดเบียนเรื่องสิทธิ์ ไม่ทราบว่าพวกเขาสามารถร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิฯได้
หน้าที่บางประการของคณกรรมการสิทธิฯ เช่น ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรืออันไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็น ภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการ กระทำดังกล่าวเพื่อให้ดำเนินการ
หน้าที่เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ดังนี้เป็นต้น
มองอย่างพื้นๆแล้ว นอกเหนือไปจากการสลายการชุมนุมในกรุงเทพจนเห็นเหตุให้มีผู้คนล้มตายเป็น จำนวนมากซึ่งเห็นชัดเจนประการหนึ่งแล้ว ประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยนชนด้านอื่นๆในเมืองไทยมีหลายรูปแบบที่มองไม่ ใคร่เห็นกัน แต่มีอยู่ และไม่แน่ใจว่าคณะกรรมการสิทธิฯได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะรับผิดชอบตาม กฎหมายหรือไม่ หรือมองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปในสังคมไทย?
ความจริงเรื่องสิทธิพวกนี้ ก็จัดเข้าในหมวด “ความอยุติธรรม”ที่เกิดขึ้นในสังคม
ตัวอย่างที่เห็นในประเด็นการรับสมัครคนเข้าทำงานในเมืองไทย โดยแบ่งแยกและถือเกณฑ์ตาม “เพศและอายุ” ที่กฎหมายสิทธิ์เข้าไปคุ้มครองไม่ถึง เข้าใจว่าไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความเป็นไปในแง่เศรษฐกิจด้วยซ้ำ
ข้อจำกัดเรื่อง“เพศและวัย” ในการทำงานที่เห็นกันมากที่สุดในเมืองไทย เช่น การที่ผู้มีอายุเกิน 35 หรือ 40 ปีขึ้นไป ถูกปฏิเสธในการรับเข้าทำงานทั้งจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งนี่ก็คือ การแบ่งแยกหรือ Discrimination อีกอย่างที่มีการละเมิดจนเป็นเรื่องธรรมดาและกลายเป็นความ “อยุติธรรม”อย่างหนึ่งในสังคม
ในอเมริกา เพื่อนคนไทยที่ลาสเวกัส ของผมคนหนึ่ง โดนเรียกตัวไปทำงานที่สำนักงานเอฟบีไอ หลังจากที่เขาผ่านการสอบสัมภาษณ์ ที่วอชิงตันดีซี ในขณะที่เขามีอายุในตอนนั้น 55 ปี
นักศึกษาอเมริกันจำนวนมาก ในหลากหลายสาชาวิชา กว่าจะเรียนจบปริญาตรี หรือหลักสูตรต่างๆ อายุก็ปาไปค่อนครึ่งชีวิต อย่างเช่น มีนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งเรียนจบเอาตอนที่เขามีอายุ เลย 45 ปี แล้ว รวมทั้งอเมริกันอีกหลายคน ที่อาศัยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ โดยวัยไม่ถูกทำให้กลายเป็นข้อจำกัด ตราบเท่าที่ร่างกาย และจิตใจของพวกเขายังสามารถทำงานตามลักษณะของงานได้ที่กำหนดให้ทำได้
นี่คือตัวอย่างแค่ ความเท่าเทียมกันเรื่องวัย ที่ให้ภาพที่แตกต่างไปจากเมืองไทยอย่างชัดเจน
หากเป็นเมืองไทยอาจมีคำพูดที่ได้ยินกันจนชินว่า “ คุณแก่เกินไป(ที่จะทำงาน)ซะแล้ว”
คณะกรรมการสิทธิฯอาจไม่ได้ยินคำพูดพวกนี้ก็ได้ หรือได้ยิน แต่ก็ชินหูไปเสียแล้ว
ความจริง ประเด็นใหญ่ใจความ กลับไม่ใช่เรื่องค่าจ้างที่มากหรือน้อย(ตามวัยและประสบการณ์)แต่อย่างใด หากประเด็นที่ถูกหมดเม็ดซ่อนเร้นเอาไว้ ก็คือ การแบ่งแยกในเรื่องวัย ซึ่งหมายถึง คนสูงวัย ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะต้องการค่าจ้างที่สูงด้วยเสมอ เป็นคนละเรื่องเดียวกัน กับความต้องการทำงาน หรือความต้องการเพื่อให้มีงานทำ
ทั้งยังเท่ากับเป็น “การประเมินค่าความสำเร็จของคนในเชิงเดี่ยว” ที่หมายถึง การประเมินค่าจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตมวลรวมเชิงวัตถุ + วัย (+ เพศ +….) โดยขาดองค์ประกอบอย่างอื่นที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้สังคมสามารถอยู่ร่วมกัน ได้อย่างสันติ
ขณะเดียวกันการแบ่งแยกเรื่องวัยหรืออายุ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวัยที่มีอายุมากเท่านั้น ผู้ที่อยู่อายุน้อย อาจถูกกีดกันจากสังคมหรือองค์กรงานได้เช่นกัน
แม้กระทั่งการทำธุรกรรมกับธนาคารและสถาบันการเงินในเมืองไทย ข้อจำกัดในเรื่องอายุก็ถูกหยิบยกขึ้นมา จากบรรดาธนาคารทั้งหลายเช่นกัน เช่น การประเมินและการอนุมัติสินเชื่อต่างๆ ที่หลักเกณฑ์เรื่องอายุของลูกค้าถูกนำมาใช้ร่วมกับหลักเกณฑ์การอนุมัติสิน เชื่อหรือธุรกรรมทั่วไปอย่างอื่น
ในเมื่อการรับคนเข้าทำงาน หรือการติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ มีเงื่อนไขในเรื่องความมากน้อยของอายุ และรายละเอียดการแบ่งแยกที่เป็นข้อจำกัดหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง ใยจะไปพูดถึงการส่งเสริมเรื่องราวด้านอื่นๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมให้ก้าวไกลออกไปจากที่เป็นอยู่ได้เล่า
เพราะหากเป็นในประเทศพัฒนาแล้ว นี่คือ หลักพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน ที่ถูกนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
อีกเรื่องที่อยากเสริมกับประเด็นข้างต้น อาจไม่เกี่ยวโยงกันโดยตรง คือ เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนอเมริกันคนหนึ่งไปเยือนเมืองไทย เขาเพียงต้องการแลกเงินกับธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ของธนาคารที่เคาน์เตอร์ขอถ่ายเอกสารหนังสือเดิน ทาง(พาสปอร์ต)ซึ่งถือเป็นเอกสารส่วนตัวสำคัญยิ่ง แม้ว่าเขาจะให้ยินยอมแสดงหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ธนาคารดูแล้วก็ตาม จนเกิดการโต้เถียงขึ้น
เป็นเรื่องที่มีผลพอสมควรกับหลักปฏิบัติที่เป็นสากลที่เกี่ยวข้องกับ เอกสารสำคัญ และเชื่อมไปถึงประเด็นอื่นๆ อย่างเช่น ในด้านความปลอดภัย การฉ้อฉลในองค์กร หรือแม้ในด้านเศรษฐกิจเอง(ดังมีการท่องเที่ยว เป็นอาทิ)
ไม่รู้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใส่ใจกับเรื่องทำนองนี้กันหรือไม่?
แต่อย่างน้อยคณะกรรมการสิทธิฯ ก็ย่อมจะรู้ว่า ยังมีเรื่องที่ต้องดำเนินการเกี่ยวกับ(แค่)สิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยอยู่อีกหลายเรื่อง
ไม่มีความเห็น