อภิปรัชญา ของท่านนาคารชุน
ว่าด้วย ความจริง ตามหลักปรัชญา ได้แก่ สภาพที่สามารถรู้แจ้งได้โดยตรง สภาพมีลักษณะสงบ และเป็นสุขอยู่เหนือความต่างทั้งหลาย ทนต่อการพิสูจน์ด้วยปัญญาขั้นเหตุผล เป็นภาวะสัมบูรณ์อย่างเแกไม่มีสอง
ความจริงแท้ (Reality) มี ๒ คือ ๑) ความจริงสมมุติ ๒)ความจริงปรมัตถ์ (ถ้าไม่รู้ความจริง ๒ อย่างนี้ไม่มีทางเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า)
ความจริงสมมุติหรือสมมุติสัจจะ คือภาวะปกปิดความจริงทำให้เห็นลักษณะไม่แท้ เป็น ลักษณะแท้
ความจริงสมมุติ จึงเป็นความจริงตามสมมุติบัญญัติ เช่นในชีวิตประจำวัน สิ่งทั้งหลายที่เราตั้งชื่อเรียกกัน ว่า นายขาว เขียว แดง อย่างนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติกิจ ล้วนสมมุติสัจจะ ว่า คือ ชื่อนี้ ชื่อนายขาว จึงมีหลายคน หลายชื่อ
ความจริงปรมัตถ์ คือ ภาวะจริงแท้ของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งต่างกับลักษณะที่ปรากฏของสิ่งนั้น ๆ หรืออยู่เหนือภาวะบัญญัติขึ้น ทั้งหลาย
ความต่าง เห็นได้ยาก เพราะเป็นความแตกต่างด้านความคิดอันจำกัดของปุถุชน ส่วนพระอรหันต์ มีความเห็นชัดแจ้งแล้ว เพราะใจ ในคือว่า ศูนยตา คือความว่าง ความไม่มีอัตตา ตามแบบวิภาษวิธี (dialectic) ของท่านนาคารชุน ว่า ถ้าสิ่งทุกอย่างเป็นอศูนยะมันก็เป็นอิสระแก่กันและกัน เมื่อเป็นอิสระแก่กันและกัน ก็ต้องเป็นภาวะสัมบูรณ์ เมื่อเป็นภาวะสัมบูรณ์ ก็ต้องไม่มีการทำลาย และเมื่อไม่มีการทำลาย ก็ย่อมไม่มีความสงสาร ไม่มีนิพพาน ไม่มีอริยสัจ ไม่มีสงฆ์ ไม่มีศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้า ถ้าทุกอย่างเป็นจริง จะเป็นสิ่งถาวรคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง และถ้าเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีโลก
พระพุทธศาสนา (พระพุทธเจ้า) เมื่อ ปฏิบัติแล้วย่อมรู้แจ้งแห่งธรรม เมื่อรู้ธรรม ก็รู้จักละสิ่งที่เป็นอกุศล ทั้งมวล
จาก หนังสือเรียน มจร. M.
ไม่มีความเห็น