วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556
กราบสวัสดีค่ะครู
หนูนั่งไตร่ตรองกับตนเองเกี่ยวกับการเขียนบันทึก การเขียนงานต่าง ๆ ถามตนเองว่า “ทำไปเพื่ออะไร”
เมื่อก่อนก็ยังสงสัยว่า “ครูให้เขียนทำไม” ใจข้างในหนูมีแต่ความชั่ว ความคิดชั่ว ๆ ความคิดด้านลบ จะเขียนออกมาให้แปดเปื้อนจิตใจผู้คน หรือ ผู้อ่านทำไมนะ จิตใจที่มืดบอดด้วยกิเลสเข้ามาบัง
ปัญญาที่ไม่ถึงพร้อม จึงถูกกิเลสล้อมให้สงสัย งานเขียนจึงออกมาดั่งที่ผ่านมา คือ กระปิดกระปรอย ตามแต่อารมณ์จะพาไป แต่หนูลืม ไปว่า สิ่งแวดล้อมที่หนูยืนอยู่ สัมผัสอยู่ เต็มไปด้วยความงดงาม ที่ครู นำพาให้ได้เรียนรู้ ให้ได้สัมผัส แล้วอะไรที่เป็นการ “ผ่อนแรงครู” หนูนี่เองพึงทำ ทำอะไรก็ได้ที่เป็น “หน้าที่”และมองเห็นว่าควรทำ ทำเสร็จก็พึงระลึกว่า “ยังเหลืออะไรที่ยังไม่ได้ทำ”
เพราะถ้าหนูบกพร่องไม่ว่าอะไรก็ตาม ครูก็จะยิ่ง “เหนื่อยมากขึ้น”ในเรื่องนั้น ๆ
สิ่งที่ระลึกกับตนเองเกี่ยวกับงานเขียนคือ “ท่อ” หรือ กระบอกเสียง
สื่อสารเรื่องราว ดี ๆ สื่อสารความจริงที่งดงามที่เกิดขึ้นรายล้อม ร่างกายและจิตใจหนู ออกมาเป็นตัวอักษร
หนูชอบฟังนิทานชาดก ชอบฟังพระธรรมบท
เพราะมีผู้เก็บเรื่องราวดี ๆ ของพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าไว้ ดั่งพระอานนท์ และแปรเป็นสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ตามยุคตามสมัยเพื่อให้ผู้คนสะดวกเข้าถึง “ธรรมตามอัธยาศัย”
เพราะที่ผ่านมา “หนูโง่มัวแต่สงสัย มัวแต่กลัวว่าจะเอาความอวดดีออกมาทำงาน จนลืมว่า เวลาไม่คอยใคร”
นี่ก็ล่วงมากกว่าสี่ปี ที่ได้รับการบ่มเพาะสิ่งต่าง ๆ จากครู ได้รับโอกาสในการทำหน้าที่ต่าง ๆ มากมาย ต้องยอมรับว่า ครูให้มา 100 หนูรับไว้ได้แทบไม่ถึง 1 เพราะสิ่งที่ครูมอบให้มาตลอดสี่ปี คำว่า มหาศาล ยังน้อยไป
วันนี้ขอไม่นิยามอะไรทั้งนั้นค่ะ แต่ข้างในหนูที่เคยหยาบกระด้างนั้นได้เบาบางลง เมื่อระลึกถึงครู
ยิ่งเห็นครู ไม่เคยปฏิเสธใคร ไม่เคยปฏิเสธอะไร
วางแผนใช้ปัญญา ช่วยเขา ให้เขาอยู่ในทางให้มากที่สุด ตามกำลังของแต่ละคน โดยไม่มีเขตแดนแบ่งสิ่งใด ๆ ออกจากใคร ไม่มีพรรค ไม่มีพวก ไม่มีศัตรู ไม่มีมิตร
ครูปฏิบัติต่อทุกคนดุจ “เพื่อนร่วมทุกข์” ด้วยกัน
สนับสนุนทุกคนให้มีจิตใจสะอาดผ่องใสตามกำลังของเขา
ไม่เคยขัดขวาง มีแต่ขัดเกลา
จิตใจหนู ที่เคอะหนาด้วยความชั่ว ครูใช้ทุกวิถีทาง ให้ความชั่วเบาบางและพาหนูมาสร้างกุศล
สั่งสมกุศลให้ได้มากที่สุด
ครูพาทำทาน พามั่นคงในการรักษาศีล พาใช้ชีวิตทั้งชีวิตด้วยการภาวนา
คือความไร้ที่ติในความงามของครูกะปุ๋ม
ท่านทำให้ดูไว้ “ไม่ต้องพึ่งอภินิหาร”
ใช้หลัก ทาน ศีล ภาวนา นี่แหละ ขัดเกลาคนได้
มองเทียบง่าย ๆ จากภาพถ่าย ที่หนูลองเอาภาพเก่า ๆ ของตนเองมานั่งดู
ใบหน้าหนูเปลี่ยนไป ชุดนั้นคงไม่ต้องเอ่ยถึง
ภาพเก่า ๆ เป็นเรื่องที่แทบไม่อยาก ไม่กล้า เปิดเผย
หนูถามตนเอง หากชีวิตที่พลาดพลั้งในอดีต ที่มันคลุกฝุ่นอยู่กับกิเลส
พอจะเป็นกำลังใจให้นักเดินทาง ก็น่าจะเป็นประโยชน์กว่าการ เก็บมันไว้เฉย ๆ
ในเมื่อมันเป็น อนิจจัง เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธอะไรได้เลย ว่านั่น คือ อดีต นั่งคือ วันวาน นั่นคือ เส้นทางที่ชีวิตและดวงจิตนี้ใช้ผ่านมา
และที่สำคัญ ครูกะปุ๋มเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่
หนูพึ่งมาตกผลึก คำว่า “แม่ครู”
ที่เด็ก ๆ เรียกท่านก็อาทิตย์นี้เองว่า “ลึกซึ้งนัก”
หลวงปู่เคยย้ำกับหนู ณ วันที่ จิตคะนองดื้อดึงไม่เชื่อครูว่า
“นั่นหน่ะเท่าแม่เลยนะ แม่หน่ะรู้จักไหมแม่”
“ให้เชื่อฟัง กิเลสขึ้นมาก็ให้ข่มหัวมันไว้ กดมันไว้”
เป็นครั้งที่สองที่หลวงปู่ย้ำให้เชื่อครูอย่างไม่ต้องสงสัย
“ให้เลิกคร่ำครวญว่า ครูใช้วิธีหนักหน่วงและหนูทนไม่ได้ เพราะที่ทนไม่ได้นั่นมันกิเลสที่ทนไม่ได้ ไม่ใช่ธรรม”
บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่ติดในใจว่า
“ทำให้พี่ ๆ ที่มาภาวนาพลาดโอกาสในการฟังธรรมจากครู ยังติดอยู่ภายในใจ”
โชคดีที่แม่ชีมาเมตตา แล้วก็มาทำความรู้จักครู เป็นเหมือนมา ปลดล็อค บางอย่างในใจ แม้จะยังทำได้ไม่เต็มที่นัก
ในความผิดพลาดก็มีความงดงามคือว่า
“เป็นร่องรอยให้หนูได้ตราตรึงใจไว้ว่า ถ้าปล่อยให้กิเลสนำหน้าก็จะพลาดอย่างนี้ ถ้าไม่อยากพลาดต้องภาวนาแล้วใช้ปัญญาในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้เต็มที่”
และการประสิทธิ์ประศาสตร์ “วิชชา” บ่มเพาะขัดเกลา ครูเป็นทุกนิยามของคำว่าครู ทั้งทำให้ดูเป็นคนต้นแบบ ประคับประคองให้ศิษย์ ไม่นอกลู่นอกทาง และวางอนาคตไว้ให้ สนับสนุนให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง
นี่คือที่สุดของสิ่งที่ท่านเป็นคือ “แม่ครูกะปุ๋ม”
เหนือคำบรรยาย แต่ทุกความหมาย คือ ท่านงดงามไร้ที่ติ
อ่านมาถึงตรงนี้ก็ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่า
ชีวิตหนูดีขึ้นได้อย่างไร แล้วต่อไปจะเป็นเช่นไร ก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว
จะยังคงเป็นการดำเนินไปบนเส้นทางปฏิปทาที่ครู พาทำ ครู มอบหมาย แบบไม่ว่าจะเผชิญอะไรก็จะคงมั่นไม่หวั่นไหว
ไม่มีความเห็น