สรุปบทเรียน EMS and referral management
ผู้บรรยาย : รศ.ดร.สมเดช พินิจสุนทร
ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ปัจจุบันระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยได้มีการพัฒนาดีขึ้นตามลาดับ หลังจากมีการประกาศใช้ พรบ.การแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อ 6 มีนาคม 2551 โดยปัจจุบันได้มีหน่วยงานรับผิดชอบด้านการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศ ได้แก่ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ซึ่งเหตุผลในการประกาศใช้ พรบ.ฉบับนี้ คือ ในอดีตที่ผ่านมาการปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินยังขาดระบบบริหารจัดการด้านบุคลากร อุปกรณ์ และเครื่องมือช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ทาให้ผู้ป่วยฉุกเฉินต้องสูญเสียชีวิต อวัยวะ หรือเกิดความบกพร่องในการทางานของอวัยวะสำคัญ รวมทั้งทำให้การบาดเจ็บหรืออาการป่วยรุนแรงขึ้นโดยไม่สมควร เพื่อลดและป้องกันความสูญเสียดังกล่าว จึงกำหนดให้มีคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินขึ้น เพื่อกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินตลอดจนกำหนดให้มีสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติขึ้นมาเป็นหน่วยรับผิดชอบการบริหารจัดการ การประสานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน และการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิด การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน
การแพทย์ฉุกเฉิน (Emergency Medicine) ตามคำจำกัดความของ พรบ.การแพทย์ฉุกเฉิน 2551 มีความหมาย ที่กว้าง โดยให้หมายถึง (1) การปฏิบัติการฉุกเฉิน (2) การศึกษา (3) การฝึกอบรม (4) การค้นคว้า(5) การวิจัย และ (6) การป้องกันการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นฉุกเฉิน โดยขั้นตอนที่ 1-6 เกี่ยวกับการประเมิน การจัดการ การบาบัดรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน นับตั้งแต่การรับรู้ถึงภาวการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉิน จนถึงการดำเนินการให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการบาบัดรักษาให้พ้นภาวะฉุกเฉิน จำแนกเป็นการปฏิบัติการในชุมชน และการปฏิบัติการต่อผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งนอกโรงพยาบาลและในโรงพยาบาล จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้มีการพัฒนามาโดยตลอด
ขั้นตอนการปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินทั้ง 6 ขั้นตอน ได้แก่
1. การเจ็บป่วยฉุกเฉินและการพบเหตุ (Detection)
2. การแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือ (Reporting)
3. การออกปฏิบัติการของชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน (Response)
4. การรักษาพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ (On Scene care)
5. การลาเลียงขนย้ายและให้การดูแลระหว่างนาส่ง (Care in transit)
6. การนาส่งสถานพยาบาล (Transfer to the definitive care)
ผู้รับแจ้งเหตุและสั่งการช่วยเหลือ (EMD = Emergency Medical Dispatcher) หรือผู้บัญชาการจะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม ปัจจุบันชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน มีดังนี้
๑.ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น (First Responder Unit : FR) หัวหน้าชุดปฏิบัติการเป็นผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น (First Responder) และทีมปฏิบัติการที่เป็นผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น รวมอย่างน้อย ๓ คน
๒. ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับต้น (Basic Life Support Unit : BLS) หัวหน้าชุดปฏิบัติการเป็นเวชกรฉุกเฉินระดับต้น (Emergency Medical Technician – Basic : EMT-B) และทีมปฏิบัติการที่เป็นเวชกรฉุกเฉินระดับต้นหรือผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น รวมอย่างน้อย ๓ คน
๓. ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับกลาง (Intermediate Life Support Unit : ILS) หัวหน้าชุดปฏิบัติการเป็นเวชกรฉุกเฉินระดับกลาง (Emergency Medical Technician – Intermediate : EMT-I) และทีมปฏิบัติการเป็นเวชกรกรฉุกเฉินระดับกลาง เวชกรฉุกเฉินระดับต้น หรือผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น รวมอย่างน้อย ๓ คน
๔. ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับสูง (Advance Life Support Unit : ALS) หัวหน้าชุดปฏิบัติการเป็นเวชกรฉุกเฉินระดับสูง (Emergency Medical Technician-Paramedic : EMT-P) หรือ พยาบาลกู้ชีพ (PreHospital Emergency Nurse : PHEN) หรือแพทย์ฉุกเฉิน (Emergency Physician : EP) หรือ แพทย์ (Physician) และทีมปฏิบัติการที่เป็นเวชกรฉุกเฉินระดับกลาง เวชกรฉุกเฉินระดับต้น หรือผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน เบื้องต้น รวมอย่างน้อย ๓ คน
ก่อนการส่งต่อ |
|
ขณะส่งต่อ |
|
การรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลปลายทาง |
|
การรับผู้ป่วยกลับ เพื่อดูแลต่อเนื่อง |
|
|
|
|
|
|
|
1. การวินิจฉัยโรคและการดูแลเบื้องต้นในโรงพยาบาล 2. การพิจารณาตามภาวะความวิกฤตของโรค - ถ้าอาการไม่รุนแรงแต่ มี เหตุจำเป็นต้องส่งต่อ (เขียนใบRefer) แต่ไม่ใช้รถพยาบาลให้ผู้ป่วยไปเอง - ถ้าอาการรุนแรงใช้ระบบของรถและอุปกรณ์ครบถ้วน 3. พิจารณาการส่งต่อไปสถานบริการที่ใกล้ที่สุดหรือขีดความสามารถเหนือกว่า หรือเขตรอยต่อจังหวัดที่เป็นไปตามข้อตกลง 4. การประสานงานระหว่างโรงพยาบาลผู้ส่งกับโรงพยาบาลผู้รับ 5. การตรวจสอบสิทธิต่างๆ |
|
1. การจัดเตรียม ความพร้อมของ รถพยาบาล , อุปกรณ์ /เครื่องมือแพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ 2. การเตรียมทีม ส่งต่อ - แพทย์ หรือ พยาบาล - ผู้ช่วยเหลือคนไข้ 3.การช่วยเหลือผู้ป่วยระหว่างส่งต่อ การรักษาในระหว่างอยู่บนรถพยาบาล |
|
1.การรายงานผู้ป่วยในระหว่างส่งต่ออาการและอาการเปลี่ยนแปลงการติดตามอาการผู้ป่วย 2.การลงบันทึกติดตามอาการผู้ป่วยในระหว่างส่งต่อ 3. การตอบกลับและประเมินคุณภาพการ ส่งต่อผู้ป่วย |
|
1. แพทย์พิจารณาเกณฑ์ในการส่งผู้ป่วยกลับเพื่อดูแลต่อเนื่องโรงพยาบาลใกล้บ้าน 2. หอผู้ป่วยประสานและรายงานข้อมูลผู้ป่วย /การวินิจฉัยการรักษา การดูแลต่อเนื่องไปยังโรงพยาบาลที่จะรับ 3. ศูนย์ประสานงานฯFax ข้อมูลให้โรงพยาบาลที่จะรับเพื่อเตรียมเตียงและบุคลากร 4. รับผู้ป่วยกลับกรณีที่มาส่งต่อผู้ป่วย |
ไม่มีความเห็น