พรบ.สุขภาพแห่งชาติ: การจัดการระบบสุขภาพ
พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 บังคับใช้เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2550 เป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทย ที่จัดทำด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากสังคมกว่า 4.7 ล้านคน ใช้ระยะเวลาถึง 8 ปี
ลักษณะที่สำคัญของ พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550
• มีคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช) นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
• กรรมการมาจากการสรรหา จากตัวแทนจากทุกภาคส่วน
• มีสำนักงานเลขาธิการ (สช)
• ให้มีกลไกการจัดสมัชชาสุขภาพ ทุกระดับ
• มติจากสมัชชาสุขภาพ เสนอเข้าสู่ คสช. สู่ ครม.
• มีกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ จากนโยบายสาธารณะ
• มีกลไกการจัดทำธรรมนูญสุขภาพ ปรับปรุงทุกห้าปี
• เพิ่มสิทธิและหน้าที่ของประชาชนด้านสุขภาพ
• ข้อมูลสุขภาพเป็นความลับ
• บุคลากรสุขภาพต้องแจ้งข้อมูลให้ทราบ
• สิทธิปฏิเสธการรักษา
• สิทธิปฏิเสธไม่เข้าร่วมการทดลอง/วิจัย
พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 เป็นกฎหมายฉบับแรกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ ในส่วนของการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ โครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต้องผ่านการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Health Impact Assessment หรือ EIA โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสิทธิ ที่ มาตรา 11 กำหนดให้บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิร้องขอให้มีการประเมิน มีสิทธิร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพจากนโยบายสาธารณะ บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูล คำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของตนหรือของชุมชน
พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติต้องการให้การประเมินผลกระทบทางสุขภาพเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในสังคม ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันพิจารณาถึงผลกระทบทางสุขภาพ ที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้วกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เนื่องมาจากการดำเนินนโยบายการพัฒนา หรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับการสร้างเสริมและคุ้มครองสุขภาพของทุกคนในสังคม การพัฒนาระบบการประเมินผลกระทบทางสุขภาพในพรบ.สุขภาพ พ.ศ.2550 จะมีสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสมัชชาสุขภาพในระดับต่างๆ เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงาน กลไกสำคัญภายใต้ พรบ.สุขภาพฯ คือ ‘สมัชชาสุขภาพ’ สมัชชาสุขภาพเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อการมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ มติสมัชชาสุขภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะถูกส่งต่อและผลักดันสู่การปฏิบัติผ่านช่องทาง กลไกของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งให้ภาคประชาชนร่วมดำเนินการ
ไม่มีความเห็น