บันทึกการประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อการปฏิรูปกฎหมายสัญชาติในการขจัดและป้องกันปัญหาความไร้สัญชาติในประเทศไทย วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ โรงแรมเซ็นทราศูนยราชการและคอนแวนชันเซ็นเตอร์ จัดโดย UNHCR และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เสวนาหัวข้อย่อยในประเด็นคนไร้รากเหง้า
โดย คุณวีนัส สีสุข
ในครั้งที่ได้มีการปฏิรูปแก้ไขกฎหมายการทะเบียนราษฎร
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑
ผ่านร่างพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร ฉบับที่ ๒ ปี๒๕๕๑ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตอนที่มีการยกร่างกฎหมายดังกล่าวนั้นก็ได้มีการพิจารณาแล้วว่า
จะทำอย่างไรให้เด็กที่เกิดในประเทศไทยทุกคนได้รับการจดทะเบียนอย่างครบถ้วน
ซึ่งเราก็มีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องดังกล่าว โดยได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐
ของพระราชบัญญัติ เป็นการกำหนดเชิงบังคับว่า เมื่อมีการแจ้งการเกิด ให้นายทะเบียนมีหน้าที่รับแจ้งการเกิด
และออกสูติบัตรให้กับเด็กทุกคน ซึ่งวิธีการตามมาตรา ๒๐นี้
ใช้กับเด็กทุกกลุ่มไม่ว่าเด็กนั้นจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยก็ตาม
อย่างไรก็ดี มาตรา ๒๐ ก็เป็นกฎหมายที่ใช้ได้ในสถานการณ์ปกติ กล่าวคือ
เป็นการรับแจ้งการเกิดและออกสูติบัตรให้กับเด็กที่อยู่ในสภาพปกติ
มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองที่สามารถจะให้ข้อมูล ให้ข้อเท็จจริงต่อนายทะเบียน
สามารถมาทำหน้าที่ในการแจ้งการเกิดของเด็กต่อนายทะเบียนได้
แต่ในกรณีของเด็กที่ตกอยู่ในสถานะของคนด้อยโอกาส
ซึ่งในที่นี้หมายความถึง คนที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์
เป็นเด็กไร้เดียงสา เป็นเด็กเร่ร่อน หรือเป็นเด็กที่ไม่พบบุพการี ในกรณีดังกล่าวพระราชบัญญัติก็ได้มีการบัญญัติแนวทางการแก้ปัญหาไว้ในมาตรา
๑๙ วรรค ๑ กรณีเด็กแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสา และมาตรา ๑๙/๑
กรณีเด็กเด็กเร่ร่อนและเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งที่อยู่ในอุปการะของหน่วยงานรัฐหรือเอกชน
ซึ่งต้องทราบว่าเดิมนั้นเราไปกำหนดเด็กที่ตกอยู่ในสถานะของคนด้อยโอกาส
ไว้แค่เฉพาะกลุ่มของเด็กตั้งแต่แรกเกิดและเด็กอ่อนเท่านั้น ซึ่งคำว่า เด็กอ่อน
สำนักทะเบียนกลางได้มีการนิยามความหมายไว้ตามความเห็นของแพทย์ให้หมายความว่า
“บุคคลตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ ๒๘ วัน”
การให้คำนิยามดังกล่าวก็จะทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เมื่อมีโอกาสแก้ไข
เราจึงได้แก้ไขตามมาตรา ๑๙ โดยขยายอายุของเด็กเป็นเด็กแรกเกิดและเด็กไร้เดียงสา
ซึ่งคำว่าไร้เดียงสานั้นก็ได้มีการนิยามไว้ในกฎกระทรวงปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ไว้ให้หมายความถึง
“ เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุไม่เกิน ๗ ปี ”
ดังนั้นถ้าหากเด็กในช่วงแรกเกิดจนถึงอายุ ๗ ปี ถ้าถูกทอดทิ้งก็ให้ใช้มาตรา
๑๙ ในการแก้ปัญหา โดยให้ผู้ที่พบเห็นหรือเก็บเด็กได้นำเด็กส่งให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เป็นผู้มีหน้าที่ในการแจ้งเกิด โดยแจ้งที่สำนักทะเบียนใดๆก็ได้
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสำนักทะเบียนที่เด็กเกิด
อันเป็นการแก้ไขปัญหาโดยใช้หลักกฎหมาย ในกรณีของเด็กที่อายุไม่เกิด ๗ ปีและตกอยู่ในสถานะถูกทอดทิ้ง
ส่วนในกรณีของเด็กที่มีอายุเกินกว่านั้น
โดยเราก็มีนิยามคำว่าเด็ก ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ว่าหมายถึง “บุคคลที่มีอายุไม่เกิน
๑๘ ปีบริบูรณ์” ดังนั้นเด็กที่มีอายุเกิน ๗ ปีแต่ไม่เกิน ๑๘ ปีบริบูรณ์
ถ้าตกอยู่ในสถานะเด็กเร่ร่อน ไม่ปรากฏบุพการี หรือกรณีที่บุพการีอาจจะเสียชีวิตไปตั้งแต่วัยเยาว์
สืบค้นหาพยานหลักฐานไม่ได้ โดยที่มาตรา ๑๙/๑ ก็ได้ไปผูกไว้ว่า
เด็กเหล่านี้ถ้าอยู่ในการดูแลอุปการะของหน่วยงานรัฐหรือเอกชน ก็ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นมีหน้าที่จะต้องแจ้งเกิดให้กับเด็ก
และถ้าเด็กไม่มีหลักฐานทางทะเบียนก็ให้แจ้งต่อนายทะเบียนที่หน่วยงานสงเคราะห์นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่
แต่อย่างไรก็ตามก็เกิดปัญหาตรงที่ว่า
การที่นายทะเบียนในประเทศไทยจะรับแจ้งเกิดใครสักคนนั้น ก็ต้องทราบสถานะทางการเกิด
ว่าเด็กนั้นเกิดในประเทศไทยหรือไม่ และถ้าเกิดในประเทศไทยก็ต้องรับรู้สถานะทางสัญชาติของเด็ก
ว่าเด็กนั้นเป็นคนสัญชาติไทยหรือไม่ใช่คนสัญชาติไทย
เพราะระบบการทะเบียนราษฎรของบ้านเรา ตั้งแต่ที่เอาระบบเลข ๑๓ หลักมาใช้ในปีพ.ศ.
๒๕๒๖ ก็ได้แยกประเภทของเลข
และแบบพิมพ์การทะเบียนราษฎรที่จะมอบให้กับคนทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยโดยเอาเรื่องของสัญชาติมาเป็นตัวกำหนดด้วย
ดังนั้นสำหรับเด็กที่มีปัญหาตามมาตรา ๑๙
และ มาตรา ๑๙/๑ ก็ได้มีการกำหนดไว้ในมาตรา ๑๙/๒
ว่าต้องไปผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวก็ออกมาตั้งแต่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้
โดยออกมาตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ แต่ก็เกิดปัญหาตรงที่ เด็กเหล่านี้ไม่อาจแสวงหาพยานหลักฐาน
หรือว่าสืบเสาะก็ไม่พบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับสถานะการเกิดหรือถิ่นที่เกิดของตนเองได้แต่อย่างใด
ดังกรณีตัวอย่างที่เข้ามาสู่เวทีของเรา
เมื่อวานกรณีของคุณบัวรา ซึ่งมีข้อเท็จจริงชัดเจนว่า คุณบัวราได้ปรากฏตัวและเริ่มรู้ว่าตนเองอยู่ประเทศไทยเมื่ออายุประมาณ
๗ ขวบ ที่บึงกาฬ อาศัยอยู่ที่บ้านตายายซึ่งไม่ใช่ตายายแท้ๆ
และบ้านหลังดังกล่าวก็อยู่ติดริมแม่น้ำโขง
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่า คุณบัวราอาจจะเป็นลูกคนลาวที่เอามาทิ้งไว้ฝั่งนี้ก็ได้
หรือบ้านเกิดอาจอยู่ฝั่งนี้ก็ได้
แต่เมื่อกลับไปแสวงหาคนที่จะยืนยันหรือรับรองว่าคุณบัวราเกิดตรงนั้น
ก็พบว่าไม่มีใครอยู่เลย ซึ่งคุณบัวราเองก็ออกจากชุมชนนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว
บุคคลเหล่านี้จึงเกิดปัญหาว่า
เมื่อไปดำเนินการแจ้งเกิดต่อนายทะเบียน ก็จะติดเงื่อนไขว่า
ไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดของตนเองได้ เพราะไม่รู้ว่าตนเกิดที่ไหน
เกิดในประเทศไทยหรือไม่ ดังนั้นการรับแจ้งเกิดจึงสะดุดลง แต่อย่างไรก็ตามแม้กระบวนการในการรับแจ้งเกิดจะสะดุดลงแล้ว
กฎหมายก็มองต่อไปว่า จะทำอย่างไรไม่ให้บุคคลเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะไร้รัฐ (Stateless)
พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมีการบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙/๒
ว่าถ้ามีกรณีเด็กที่ไปแจ้งการเกิดแล้วไม่อาจพิสูจน์สถานการณ์เกิดได้ กำหนดให้นายทะเบียนต้องทำทะเบียนประวัติให้
ซึ่งแบบพิมพ์ประวัตินี้ ผู้อำนวยการทะเบียนกลาง ก็ให้ใช้แบบพิมพ์ ทร.๓๘ก. และกำหนดให้เป็นบุคคลประเภทที่มีบัตรประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข
๐ ที่เรียกว่า บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ซึ่งเป็นการให้เลขบัตรประจำตัวกับผู้ที่เข้าสู่กระบวนการแจ้งเกิดแต่ไม่อาจทำการแจ้งการเกิด
เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์สถานะการเกิดได้ ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า กฎหมายไทยซึ่งก็คือพระบัญญัติการทะเบียนราษฎรเมื่อออกมาแล้ว
จะสามารถดำเนินการแจ้งเกิดให้กับคนทุกคนได้หรือไม่ ก็ต้องเรียนว่า ยังไม่ได้
ยังไม่ครอบคลุม
ซึ่งในกรณีของคนที่เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาและก็ตกอยู่ในสถานะของคนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน
พระราชบัญัติการทะเบียนราษฎรก็ได้บัญญัติในมาตรา ๓๘ ให้มีการจัดทำทะเบียนประวัติเช่นเดียวกัน
แต่ตอนนี้เรากำลังเน้นในกลุ่มของคนไร้รากเหง้าว่าเราจะแก้ไขปัญหาอย่างไร กล่าวคือทำอย่างไรให้บุคคลเหล่านี้มีหลักฐานที่เหมาะสมกับสถานะของเขา
เนื่องจากว่าเมื่อเราให้เลขประจำตัวและกำหนดให้มีสถานะตามกฎหมายการทะเบียนราษฎรกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว
ก็เริ่มทำให้มองเห็นสภาพปัญหาที่เกิดตามมาแล้วว่า คนที่มีบัตรเลข ๐ ตาม
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร กับคนเลข ๐ ตามนโยบายของรัฐที่ออกมาเป็นยุทธศาสตร์
จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาในสิทธิสถานะบุคคล สิทธิในเรื่องของการดำรงความเป็นมนุษย์อยู่ในสังคม
สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แตกต่างกันในหลายๆเรื่อง
การเข้าสู่กระบวนการของคนไร้รากเหง้าตามยุทธศาสตร์ปี
๔๘ นั้น กระบวนการดังกล่าวจะทำให้คนไร้รากเหง้าสามารถพัฒนาสถานะของตนเองได้ โดยยุทธศาสตร์ปี
๔๘ ก็ได้มีมติครม.ที่กำหนดหลักเกณฑ์รองรับยุทธศาสตร์แล้วเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม
๒๕๕๓ และตอนนี้ก็ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทยออกมาแล้ว โดยมีการแบ่งว่า ถ้าเป็นกรณีคนไร้รากเหง้าที่เกิดในประเทศไทยก็ได้สัญชาติไทยไปตามมาตรา
๗ ทวิ พระราชบัญญัติสัญชาติ ซึ่งเน้นว่าต้องเป็นคนไร้รากเหง้าที่เกิดในประเทศไทย
แต่ถ้าเป็นคนไร้รากเหง้าที่อพยพเข้ามา กล่าวคือ คนไร้รากเหง้าที่เกิดนอกราชอาณาจักรและย้ายเข้ามาในประเทศไทย
ก็ให้เป็นต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย และสุดท้ายคนไร้รากเหง้าที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า
ตนเองเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทยนั้นทำอย่างไร ยกตัวอย่างกรณีคุณบัวรา ซึ่งตัวคุณวีนัสเองนั้นเองนั้นก็เชื่อว่าคุณบัวราเกิดประเทศไทย
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าคุณบัวราเกิดประเทศไทย
คุณบัวราเองนั้นก็ยอมรับโดยจำนนว่าจะเป็นคนต่างด้าวตามยุทธศาสตร์ เพื่อที่จะได้มีช่องทางในการพัฒนาสถานะตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกำหนดต่อไป
ซึ่งถามว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนถาวรหรือไม่ ในความเห็นของคุณวีนัสนั้น
คุณวีนัสเห็นว่ายังไม่ใช่ และที่สำคัญนั้นประกาศกระทรวงมหาดไทยที่ออกมาตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้คนไร้รากเหง้าทุกคน
เนื่องจากมิติของการพัฒนาสถานะตามยุทธศาสตร์ ซึ่งออกมาเป็นประกาศกระทรวงมหาดไทยไปเขียนไว้ว่าจะพัฒนาสถานะให้ในเบื้องต้นเฉพาะคนที่ได้รับการสำรวจถึงปี
พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวนประมาณ ๓,๐๐๐ คน ซึ่งคุณบัวรานั้นได้รับการสำรวจในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จึงไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการกำหนดสถานะ
ก็คือ ต้องเป็นมีบัตรประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข ๐ (คนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน)อยู่ต่อไป
จะพัฒนาสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายก็ไม่ได้
แม้ว่าจะยอมรับว่าตนเองเป็นต่างด้าว ยอมรับในสถานะดังกล่าวโดยจำนน เพราะอยากที่จะมีสถานะมีสิทธิที่ดีกว่านี้
ก็ไม่สามารถทำได้ นี่คือปัญหาประการหนึ่ง ซึ่งก็จะมีผลต่อเนื่องไปยังเรื่องของการอาศัยอยู่ในประเทศไทย
รวมถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิในการทำงาน
ซึ่งจะมีความแตกต่าง
ระหว่างระบบการพัฒนาสถานะด้วยยุทธศาสตร์ กับระบบการพัฒนาสถานะด้วยกฎหมายการทะเบียนราษฎร
ซึ่งปัจจุบันนี้ ตัวยุทธศาสตร์ดังกล่าวนั้นก็ปิดไปแล้ว และเราก็ไม่ทราบว่ายุทธศาสตร์ใหม่
ที่ออกมาเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีแนวทางที่จะแก้ปัญหาให้กับคนไร้รากเหง้าที่ตกหล่นอยู่อีกหรือไม่
อย่างไร
เมื่อพิจารณามิติของการขจัดปัญหาคนไร้รากเหง้าให้พ้นจากความเป็นคนไร้รัฐ
โดยพิจารณาจากกฎหมายการทะเบียนราษฎร ก็พบว่ากฎหมายดังกล่าวมีมาตราที่ดูแลในเรื่องนี้ครบถ้วน
ทุกคนสามารถที่จะมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร ทุกคนสามารถที่จะมีเลข ๑๓หลักได้
มีรัฐเจ้าของตัวบุคคลได้ แต่ตรงนี้จะเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องของการไร้รัฐเท่านั้น
แต่ในส่วนของสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอื่นๆก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งจะต้องมีมาตรการนโยบายที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต
แต่ถ้าจะทำให้สมบูรณ์และเชื่อมโยงไปถึงการแก้ไขในเรื่องของสัญชาติด้วย
ในความเห็นของคุณวีนัสเห็นว่าจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายการทะเบียนราษฎรอีกครั้ง
เนื่องจากตั้งแต่ที่มีการบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร ฉบับที่ ๒
นี้มาตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เราก็เริ่มเห็นปัญหาแล้วว่ามีคนอีกจำนวนมากที่อยู่ในประเทศไทย
แต่ไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดของตนเอง หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองเป็นคนที่เกิดในประเทศไทยหรือไม่
โดยปัจจุบันถ้าพิจารณาจากการศึกษากฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทยก็ยังไม่มีกฎหมายฉบับใดที่บัญญัติรับรองเพื่อแก้ปัญหาของบุคคลเหล่านี้
บุคคลที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าตนเองเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
ดังนั้นกฎหมายที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้ก็คือกฎหมายการทะเบียนราษฎร
ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขโดยเฉพาะการเพิ่มเติมแนวทางการแก้ปัญหาของกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสหรือเป็นคนที่ไร้รากเหง้า
โดยไปแก้ในมาตรา ๑๙/๒ ในกระบวนการพิสูจน์สถานะการเกิด โดยจะต้องมีบทสันนิษฐานว่า
ถ้าเป็นกรณีที่ไม่อาจแสวงหาพยานหลักฐานได้ ไม่ทราบว่าบุคคลดังกล่าวเกิดในหรือเกิดนอกราชอาณาจักรไทย
ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม หรืออาจจะผูกเงื่อนไขเพิ่มเติมไปอีกว่า ถ้าอยู่ในประเทศไทยต่อเนื่องและมีหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่าอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่
๑๐ ปีขึ้นไป ก็ให้กฎหมายสันนิษฐานว่า บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรไทย
ซึ่งแนวคิดในการแก้ปัญหาคนไร้รากเหง้าโดยใช้ข้อสันนิษฐานของกฎหมายข้างต้นก็มีแล้วในประเทศใกล้เคียง
ประเทศเพื่อนบ้านของเราที่เป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนเช่นเดียวกันกับประเทศไทย คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งได้มีบทบัญญัติดังกล่าวไว้ในกฎหมายสัญชาติ
ตัวอย่างเช่น กฎหมายสัญชาติของราชอาณาจักรกัมพูชา ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ วางหลักว่า“บุคคลดังต่อไปนี้
เกิดในราชอาณาจักรกัมพูชา
มีสัญชาติและสถานะพลเมืองกัมพูชา
...เด็กแรกเกิดโดยบิดามารดาไม่เป็นที่ปรากฏ...
...เด็กแรกเกิดที่พบในราชอาณาจักรกัมพูชา...”
เมื่อเข้าตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดก็ไม่ต้องไปพิสูจน์สถานะการเกิด
หรือกรณีที่พิสูจน์ไม่ได้จริงๆ ถ้าพบตัวในกัมพูชาก็สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเกิดที่ราชอาณาจักรกัมพูชา และให้มีสัญชาติและสถานะพลเมืองกัมพูชา
หรือตัวอย่างกฎหมายสัญชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปีพ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๑๓ วางหลักว่า
“สัญชาติของเด็กที่ไม่ทราบว่าใครเป็นบิดามารดา คนไร้รากเหง้า หรือเด็กที่พบอยู่ในดินแดนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและไม่รู้ว่าใครเป็นบิดามารดา
ถือว่าเป็นพลเมืองลาว...”
ซึ่งตรงนี้ก็เป็นการแก้ปัญหาคนไร้รากเหง้าโดยใช้กฎหมายสัญชาติ
แต่ในความเห็นของคุณวีนัส เห็นว่าปัญหาเรื่องนี้เกิดจากช่องว่างของกฎหมายการทะเบียนราษฎร
แลละที่สำคัญก็คือ ถ้าการแก้ไขสามารถดำเนินการได้ คนไร้รากเหง้าเหล่านี้ ก็จะรอดพ้นจากความไร้สัญชาติต่อเนื่องกันไปอีกด้วย
ในปัจจุบันแนวทางสำหรับคนที่ไม่สามารถพิสูจน์สถานะการเกิดได้ว่าเกิดในหรือเกิดนอกราชอาณาจักรไทย
ว่าจะเข้าสู่กระบวนการของกฎหมายสัญชาติอย่างไรนั้น ถ้าหากเป็นกรณีที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนต่างด้าวก็เข้าสู่กระบวนการแปลงสัญชาติ
แต่ก็ต้องไปดำเนินการแปลงสัญชาติซึ่งมีหลักเกณฑ์มากมาย หรือถ้าเป็นหญิงก็ไปจดทะเบียนสมรสกับชายที่มีสัญชาติไทย
แล้วก็ไปขอสัญชาติตามสามี ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็ไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่สมควร
และการได้สัญชาตินั้นก็ไม่ใช่สัญชาติไทยโดยการเกิดอีกด้วย
การได้สัญชาติไทยโดยการเกิดของเรานั้นก็มีแค่การได้เนื่องจากเกิดในราชอาณาจักร(ได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดน)กับกรณีที่เกิดนอกราชอาณาจักรแล้วก็ไปผูกกับเรื่องสายโลหิต
(ได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิต จากบิดา-มารดา)
ดังนั้นเมื่อเราไปแก้กฎหมายการทะเบียนราษฎรว่าให้คนไร้รากเหง้าเป็นคนที่เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อไหร่
กระบวนการพิจารณาสัญชาติก็จะเป็นเรื่องที่ดำเนินสืบเนื่องต่อไปได้โดยผลของการที่กฎหมายการทะเบียนราษฎรได้ยอมรับว่าคนๆนั้นเป็นผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรไทย
ส่วนว่าจะได้สัญชาติไทยโดยการเกิดหรือหลังการเกิด หรือได้สัญชาติไทยไทยโดยหลักอะไร
หรือไม่ได้สัญชาติไทย ก็ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติที่จะต้องไปพิจารณากันต่อไปว่า
จะปรับแก้อย่างได้ไรบ้าง ในเบื้องต้นคุณวีนัสขอเรียนในประเด็นดังกล่าวต่อที่ประชุมเพียงเท่านี้ก่อน
บันทึกและเรียบเรียงโดยนางสาวปรางค์สิรินทร์ เอนกสุวรรณกุล
วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ไม่มีความเห็น