พื้นฐานทางทฤษฎีของ Collaborative learning
แนวคิดทฤษฎีการเรียนแบบร่วมด้วยช่วยกัน มีนักวิชาการได้รวบรวมหลายท่านได้แก่ ทิศนา แขมมณี. (2547). ได้รวบรวม สลาวิน (Slavin) เดวิด จอห์นสัน (David Johnson)และรอเจอร์ จอห์นสัน (Roger Johnson) มีแนวคิดว่า ในการเรียนรู้ของผู้เรียนปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะ ได้แก่ ลักษณะแข่งขัน ลักษณะต่างคนต่างเรียน และลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการศึกษาควรให้โอกาสผู้เรียนได้เรียนรู้ทั้ง 3 ลักษณะโดยรู้จักใช้ลักษณะการเรียนรู้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ มี 5 ประการได้แก่ การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อยและการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม
ณัชชากัญญ์ วิรัตนชัยวรรณ (http://www.learners.in.th/blogs/posts/386486)แนวคิดของทฤษฏีนี้ คือการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ3 – 6คนช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่มโดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกันต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
http://www.kroobannok.com/blog/35261ได้รวบรวมและกล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ คือ การเรียนรู้กลุ่มย่อย โดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ3-5คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม เป็นแนวคิดของ สลาวิน เดวิด จอห์นสัน และ รอเจอร์ จอห์นสัน มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี3ลักษณะ คือ. ลักษณะของการแข่งขัน ลักษณะต่างคนต่างเรียน รับผิดชอบในการเรียนของตนเองให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ ศูนย์เครือข่ายพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ สพป. อุตรดิตถ์ เขต 2 ( http://www.neric-club.com/data.php?page=3&menu_id=97)ได้รวบรวมและกล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า จิตหรือสมองหรือสติปัญญา(mind) สามารถ พัฒนาให้ปราดเปรื่องได้โดยการฝึก ในการฝึกจิตหรือสมองนี้ทำได้โดยให้บุคคลเรียนรู้สิ่งที่ยากๆ ยิ่งยากมากเท่าไร จิตก็จะได้รับการฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น หลักการในการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้เน้นการพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ โดยการกระตุ้นความรู้ในตัวผู้เรียนให้แสดงออกมา
http://www.sobkroo.com/ได้ รวบรวมและกล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า นักคิดกลุ่มนี้เชื่อว่า
จิตหรือสมองหรือสติปัญญาสามารถพัฒนาได้โดยการฝึก นักคิดกลุ่มนี้มีแนวคิดแยกออกเป็น
2 กลุ่มย่อย คือ
1. กลุ่มนี้เชื่อในพระเจ้า (Theistic Mental
Discipline) นักคิด คือ เซนต์ออกุสติน จอห์น คาลวิน และคริสเตียน
โวล์ฟ นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อเรื่อง มนุษย์เกิดพร้อมกับความชั่ว
การกระทำใดๆของมนุษย์เกิดมาจากแรงกระตุ้นภายในตัวมนุษย์เอง มนุษย์พร้อมที่จะทำความชั่วหากไม่ได้รับการสั่งสอนอบรม สมองของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นส่วนๆซึ่งหากได้รับการฝึกอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เกิดความเข้มแข็ง
สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ การฝึกสมอง
หรือฝึกระเบียบวินัยของจิตเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาให้มนุษย์เป็นคนดีและฉลาด
การฝึกฝนสมองให้รู้จักคิด ต้องใช้วิชาที่ยาก
2. ทฤษฎีของกลุ่มที่เชื่อในความมีเหตุผลของมนุษย์ (Humanistic
Mental Discipline) นักคิดคนสำคัญ คือ พลาโต และอริสโตเติล
นักคิดกลุ่มนี้เชื่อพัฒนาการเป็นเรื่องของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้นภายใน มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง
http://surinx.blogspot.com/ ได้รวบรวมและกล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าจิตหรือสมองหรือสติปัญญา (mind) สามารถ พัฒนาให้ปราดเปรื่องได้โดยการฝึก เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อซึ่งจะแข็งแรงได้ด้วยการฝึกออกกำลังกาย ในการฝึกจิตหรือสมองนี้ทำได้โดยการให้บุคคลเรียนรู้เรื่อง ที่ยาก ๆ ยิ่งยากมากเท่าไรจิตก็จะได้รับการฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
สรุป การเรียนรู้Collaborative
Learningเป็นวิธีการ จัดการเรียนการสอนรูป
ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน
เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคน
สนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการฝึกจิตหรือสมองหรือสติปัญญาสามารถ
ฝึกมากก็ยิ่งมีประสบการณ์มาก
ฉลาดและรอบรู้มากเป็นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
และความรู้ความสามารถต่างๆ และสามารถปรับตัวให้อยู่กับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ไม่มีความเห็น