story telling "ความสำเร็จของศิษย์...คือพลังชีวิตของครู"
สวัสดีครับ สำหรับงานเขียนชิ้นที่ 2 ของผม ผมมีอาชีพรับราชการครู โดยทำงานที่โรงเรียนประจำตำบลแห่งแห่งหนึ่ง เปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น-ปลาย ช่วงผมเดินทางมาบรรจุรับราชการใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2537 การเดินทางของผมไปโรงเรียนลำบากมาก เนื่องจากเส้นทางห่างจากตัวอำเภอประมาณ 13 กิโลเมตร และเป็นทางลูกรังที่กำลังจะปรับสภาพถนน จึงทำให้การเดินทางลำบากมากโดยเฉพาะหน้าฝน การเดินทางของผมในช่วงนั้นจะอาศัยไปกับอาจารย์ใหญ่ เพราะท่านมีจักรยานยนต์คันเก่าๆ สามารถลุยโคลนได้ เมื่อการเดินทางลำบากมากผมก็เลยหาที่พักในบริเวณตำบลนั้น เพราะตอนนั้นบ้านพักครูยังสร้างไม่เสร็จ
จากการที่ผมอาศัยอยู่ที่บ้านพักในช่วงแรกๆ ผมทีความรู้สึกแปลกแยกจากที่นี่่มาก ไม่ว่าจะเป็นภาษา อาหารการกิน วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น เนื่องจากผมมีภูมิลำเนาอยู่ที่ภาคกลางนั่นเอง จนบางครั้งผมเริ่มท้อใจจนไม่อยากจะกลับไปทำงานในบางครั้ง
จนสิ่งที่ทำให้ความคิดของผมเริ่มเปลี่ยนไปก็คือ ท่านอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนนี้นั่นเอง ท่านเรียกผมเข้าไปสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่าอยู่ได้มั้ย โรงเรียนที่ผมไปบรรจุเป็นโรงเรียนสาขาพึ่งเปิดใหม่มีครูเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น รวมอาจารย์ใหญ่เป็น 3 คน ซึ่งครูที่เคยจ้างมาสอนวิทยาศาสตร์ก็ต้องเดินทางไปบรรจุพอดี ถึงมีการเรียกบรรจุผมเข้ามา ที่นี้ถ้าเราอยู่ไม่ได้ก็จะทำให้นักเรียนที่นี่มีปัญหาในการเรียนการสอน เพราะพวกเขาเฝ้ารอครูใหม่มาสอนนานแล้ว และมอบหมายให้ผมดูแลนักเรียนในที่ปรึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นนักเรียนในความดูแลชั้นแรกของผม มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 25 คน ซึ่งพื้นฐานของนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่ผู้ปกครองนักเรียนจะประกอบอาชีพเกษตรกรรม หรือไม่ก็เดินทางไปทำงานต่างจังหวัด หรือไม่ก็ต่างประเทศ เลยก็มี จึงทำให้นักเรียนที่นี่ 98% ค่อนข้างยากจน ผู้ปกครองบางท่านก็ไม่ส่งลูกหลานเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นทั้ง 25 คน ต่อจากนี้ไปคือนักเรียนที่ผมจะต้องดูแลและช่วยเหลือเป็นพิเศษ นอกเหนือจากงานการเรียนการสอนตามปกติ จนทำให้ความคิดท้อใจของผมในตอนแรกค่อยๆ หายไปทีละนิด
เนื่่องจากเด็กเหล่านี้รักที่ใฝ่เรียนรู้ แม้สภาวะต่างๆ รอบตัวเขาจะไม่พร้อมก็ตาม เพราะนี่น่าจะเป็นโรงเรียนมัธยมเดียวที่เด็กในละแวกนี้ที่พอจะเข้าเรียนได้ เพราะการเดินทางเป็นอุปสรรคนั่นเอง รวมทั้งความยกาจนของผู้ปกครองที่นี่ด้วย ในด้านการเรียนการสอนนักเรียนที่โรงเรียนนี้ช่วงนั้นทั่วไปจัดอยุ่ในกลุ่มปานกลาง ค่อนข้างไปทางอ่อน ผมทำการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งมีความยากอยุ่เนื้อหาวิชาอยู่แล้ว จึงมีปัญหาค่อนข้างมากทางการเรียน ผมจึงไม่มีเวามานั่งท้ออีกต่อไป เพราะขนาดเด็กนักเรียนยังพยายามสู้เพื่อที่จะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น เราซึ่งเป็นครูคงจะยอมแพ้นักเรียนไม่ได้ ดังนั้นเวลาที่ก่อนนี้ผมมัวแต่นั่งท้อ นั่งหมดหวัง เลยไม่มีเวลาทำแบบนั้นอีกต่อไปเพราะต้องมาเตรียมสอน หาวัสดุอุปกรณ์ในท้องถิ่นง่ายๆ เพื่อให้นักเรียนได้ทดลองจนเกิดการเรียนรู้และสนุกไปกับมัน
ช่วงแรกการเรียนการสอนของโรงเรียนเราจะลำบากหน่อย เวลาหน้าหนาวลมก็จะพัดฝุ่นละอองเข้ามา รอบทิศทางยิ่งกว่าภาพยนต์ 4D หน้าฝนก็จะมีละอองฝนฉาบไปบนผิวหน้าของทั้งนักเรียนและครู เนื่องจากอาคารเรียนชั่วคราวของเราเป็นแบบไม่มีผนัง มีหลังคามุงจากเท่านั้น แต่นักเรียนก็ไม่เคยขาดเรียนเลยก็ยังมาโรงเรียนโดยตลอด จนปี 2540 อาคารเรียนเริ่มสร้างเสร็จ โรงเรียนก็ต้องพานักเรียนช่วยกันย้ายสิ่งของต่างๆ จากอาคารเรียนชั่วคราวขึ้นสู่อาคารเรียนตีก 2 ชั้น และต่อมาเปิดเพิ่มเป็นการสอนระดับ ม.ปลาย ซึ่งก็รับนักเรียนที่ปรึกษาของผมเข้าเรียนต่อ ม.ปลายทันที นักเรียนที่ปรึกษาของผมบางคนก็เรียนต่อที่เดิม บางคนผู้ปกครองก็พาไปทำงานต่างจังหวัด ทำให้ในตอนนั้นเปิด ม.4 ได้ 1 ห้อง
ตอนนั้นนักเรียนของโรงเรียนมี 300 คน ม.ต้น 1,2,3 และ ม.4 เช่นเคยผมได้ตามเป็นที่ปรึกษาให้นักเรียนพวกเดิม ซึ่งบางคนเรียกว่า "รุ่นเล้าไก่" ไปแล้ว ผมรับผิดชอบให้สอนในระดับ ม.ปลายด้วย ซึ่งโรงเรียนเลือกที่จะเปิดเรียนสายวิทย์-คณิต ดังนั้นสิ่งที่ผมเป็นกังวลก็คือ ต้องมีวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ในตอนนี้เริ่มมีครูมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนก็เริ่มเยอะมากขึ้นตามไปด้วย แต่มันคงจะหนักพอสมควรสำหรับรายวิชาในสายการเรียนวิทย์-คณิต สำหรับเด็กประจำตำบลอย่างพวกเขา นักเรียนที่นี่ก็พยายามถูๆ ไถๆ ไปกันจนพวกเขาจบการศึกษาสำเร็จเป็น ม.6 รุ่นแรกของทางโรงเรียน ถึงตอนนี้ก็จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราทะนุถนอมมาหลายปีผลผลิตจะออกสุ่โลกภายนอกจะผลิดอดออกผล และใช้ชีวิตในสังคมได้ดีเพียงใด
จนสุดท้ายเด็กรุ่นนี้ก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งใครๆ เรียกว่า รุ่นเล้าไก่ ไปศึกษาต่อจนจบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และกลับมาประจำอยู่โรงพยาบาลประจำอำเภอ จนในบางครั้งผมก็ไปตรวจสุขภาพกับเขาเหมือนกัน ซึ่งมันก็เป็นความภาคภูมิใจนะครับที่ผลผลิตของเราสามารถอยู่ในสังคมได้ และมีอาชีพสุจริต ดูแลครอบครัวของเขาต่อไป จนบัดนี้มีลูกศิษย์หลายรุ่นที่จบออกไป บ้างก็เรียนต่อทำงานตามที่หวัง บ้างก็ไม่เรียนต่อเนื่องจากมีปัญหาทางด้านสถานะทางครอบครัว แต่เมื่อเขาเจอเราสิ่งแรกที่ผมได้รับคือ รอยยิ้ม การไหว้ ทักทาย ซึ่งลึกๆ ถ้าทุกท่านที่เป็นครูได้รับความรู้สึกนั้น จากนักเรียนที่จบออกไปหลายปี ผมว่ามันคงเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจ สุขใจ ชะโลมใจให้เรามีพลังชีวิต เพื่อส่งศิษย์ในรุ่นต่อๆ ไป จนกว่าจะหมดแรงกันไป จริงมั้ยครับ ครูทุกท่าน ?