นับวันการขยายปีกของฝั่งการเมืองชัดเจนมาก ไม่เว้นแม้แต่ระดับการเมืองท้องถิ่นเวทีเล็กๆ ในหมู่บ้าน ชัดเจนว่าต้องมี "แบ็ค" ดันหลังจากฝั่งพรรคการเมืองใหญ่ ด้วยความเชื่อมร้อยที่เหนียวแน่นขึ้น ทำให้ฝั่งการเมืองนั้นมีความสามารถแทรกแซงได้ในแทบทุกเรื่อง ในทุกระดับในสังคมบ้านเรา
สิ่งที่น่าจับตามอง คือ ปรากฏการณ์แทรกแซงในระบบราชการ โดยเฉพาะระดับกระทรวง ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของระบบราชการปัจจุบันนี้ ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากหน้าข่าวในแต่ละวันที่ชาวบ้านอย่างเราได้แต่รับรู้ผ่านการอ่าน การฟังจากแหล่งข่าวที่มี สรุปได้ว่า ภาคการเมืองฝ่ายใดก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามา จะทำอะไรก็ได้ ฝ่ายราชการเป็นเพียงฝ่ายตั้งรับ สนองนโยบายเป็นหลัก ภาพที่เห็นมันเป็นอย่างนี้จริงๆ
สมมติฐานของผม ก็คือ กระทรวงต่างๆ คือ ผู้เชี่ยวชาญในการบริหารบ้านเมืองตามรายประเด็นนั้น ด้วยประสบการณ์ทำงานที่มากมายของบุคลากร น่าจะมีชุดความรู้ที่แข็งแรงพอสมควร พอที่จะต้านนโยบายประชานิยม ที่ทำลายบ้านเมืองแบบไม่รู้ตัวได้ แต่ความรู้ที่ว่านี้ ไม่เห็นมีปรากฏขึ้นมาเลย หรือ ในระบบราชการปัจจุบัน คนทำงานไม่มีความเชี่ยวชาญใดๆเลย ผมไม่คิดว่้าเป็นอย่างนี้
การที่ฝ่ายการการเมืองเข้ามาเป็นผู้บริหาร ในระยะเวลา 4 ปีตามวาระนั้น ก็นานเกินพอที่ทำให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมืองเราได้ เราเห็นแล้วว่า ฝั่งการเมืองต่างเดินหน้าด้วย "ประชานิยม" เป็นอาวุธหลัก เพื่อแลกกับฐานคะแนนเสียง แต่สิ่งที่น่าเศร้าที่สุด คือ ระบบราชการ ที่เราหวังพึ่งว่า ด้วยความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการบริหารบ้านเมืองตามรายประเด็นที่ท่านดูแลอยู่นั้น อย่างน้อยน่าจะมีชุดความรู้ที่แข็งแรง เป็น "วิชา" ที่พอจะมาคะคานกับ "อวิชา" ที่แฝงมาในกระแส "ประชานิยม" ของฝั่งการเมืองที่นับวันจะเป็นหนักมากขึ้น หรือฝั่งราชการพอใจจะเป็นลูกไล่ฝั่งการเมืองเช่นนี้อีกร่ำไป
ธรรมาภิบาล น่าจะพอช่วยได้ครับ หาก นำมาใช้ จริงจัง