“บ้านท่าช้าง” ชุมชนไร้สารเคมี
ทำนาอินทรีย์ปลูกข้าวพื้นเมือง
จุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะทำให้ชุมชนของตัวเองอยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุข ย่อมเกิดจากคนในชุมชนเองลุกขึ้นมาตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ก่อนจะลงมือจัดการ เพื่อแก้ไขปัญหาและร่วมกันสร้างความสุขอย่างยั่งยืนให้เกิดแก่ชุมชน อย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านท่าช้าง ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
บ้านท่าช้างตั้งอยู่เขตที่ลุ่มของจังหวัดพัทลุง อาชีพหลักของชาวบ้านคือการทำนา และด้วยวิถีการผลิตที่เน้นปลูกข้าวเพื่อขาย ทำให้ชาวนาที่นี่เร่งการผลิต ใช้สารเคมีทุกประเภท เพื่อให้ข้าวได้ผลผลิตสูงๆ แต่ผลที่ตามมาคือต้นทุนการผลิตสูงขึ้น กำไรในแต่ละปีจึงเหลือเพียงน้อยนิด ที่สำคัญกว่านั้น ชาวนาบ้านท่าช้างต่างมีร่างกายทรุดโทรมลงเรื่อยๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจึงร่วมกันคิดค้นหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำ “โครงการลดมลพิษผลิตข้าวปลอดภัย” ภายใต้ชุดโครงการร่วมสร้างชุมชนและท้องถิ่นให้น่าอยู่ โดยมีชาวบ้านเข้าร่วมกว่า 50 คน
การดำเนินโครงการเริ่มจากประชุมสภาหมู่บ้าน แล้วตรวจหาระดับสารเคมีในเลือด ก่อนและหลังฤดูการทำนา พบว่า ร้อยละ 60 ที่มีสารเคมีปนเปื้อนในร่างกาย เนื่องจากชาวบ้านเกือบทุกคนใช้สารเคมีเร่งการผลิตในนาข้าวค่อนข้างมาก สารพิษต่างๆ จึงตกค้างในร่างกาย จากสาเหตุนี้จึงเกิดเป็นแนวร่วมทำนาข้าวเกษตรอินทรีย์ขึ้น นอกจากจะได้ผลทางสุขภาพแล้ว ยังตอบโจทย์เรื่องลดต้นทุนการผลิตที่ชาวนาต้องเผชิญกับค่าปุ๋ยเคมีและพันธุ์ข้าวที่มีราคาสูงอีกด้วย
หลังจากนั้น สมาชิกร่วมโครงการจึงได้ร่วมกันทำปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ ได้ผลผลิตร่วมกันกว่า 6 ตันนำมาแบ่งกันใช้ เกิดห่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์ในแปลงนาเช่นในอดีต และยังกลับมาใช้พันธุ์ข้าวพื้นเมือง เพราะพบว่าทนแล้ง ทนโรค ทนแมลง และทนน้ำท่วมได้ดี
บุญรัตน์ หนูด้วง หนึ่งในแกนนำผู้ดำเนินโครงการ เล่าว่า แม้ว่าจะไม่สามารถผลิตเป็นข้าวอินทรีย์ 100% อย่างที่ตั้งใจ เพราะว่ายังคงมีสารเคมีเจือปนมาจากน้ำในคลอง แต่ข้าวพื้นเมืองอินทรีย์ที่ปลูกก็ลงทุนน้อย ประกอบกับการทำนาในรูปแบบหว่านห่างจึงได้ข้าวที่แตกกอสมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า “หว่านน้ำตม” เพลี้ยะก็ไม่มากิน ประกอบกับเมล็ดข้าวที่ได้จากนาอินทรีย์มีเมล็ดแข็ง แมลงไม่มากิจ ผลที่ได้จากการดำเนินโครงการอย่างน้อยก็สามารถปลดภาระจากสารเคมีที่เกษตรกรเป็นทาสมานาน มาเป็น “เกษตรกรไท”
นอกจากนี้ สมาชิกที่ทำนาอินทรีย์บ้านท่าช้าง ยังได้คำตอบด้วยว่า ทางรอดของชาวนาในสภาวะดินฟ้าอากาศเช่นปัจจุบัน ชาวนาต้องหันมาปรับต้นทุนการผลิต มาทำข้าวนาปี ใช้น้ำฝนเป็นหลัก เพื่อลดต้นทุนค่าสูบน้ำ แล้วเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสม คือใช้ข้าวพันธุ์พื้นเมืองให้มากขึ้น ซึ่งพบว่า “ข้าวพันธุ์สังข์หยด” เป็นข้าวที่เหมาะสมกับน้ำท่วมมากที่สุด
“ขณะเดียวกันชาวนาก็ควรลดต้นทุนด้วยการทำน้ำหมักและปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง กลับมาใช้วิถีการทำนาแบบเดิมที่ช่วยเหลือกันลงแขก และออกปากเก็บข้าว (เกี่ยวข้าว)” บุญรัตน์ กล่าว
เมื่อการดำเนินโครงการผ่านมา 1 ปี นอกจากเครือข่ายโครงการลดมลพิษผลิตข้าวปลอดภัยของ สสส. จะได้ผลผลิตเป็นนาอินทรีย์มากขึ้น เกิดแปลงนาอินทรีย์เพิ่มขึ้นถึง 20 แปลง กลุ่มชาวนาอินทรีย์ทั้ง 50 คน เกิดความมั่นคงทางอาหาร ในนากลับมามี กุ้ง หอย ปู ปลา และผัก สามารถใช้กินอยู่ได้อย่างพอเพียงและปลอดภัย
สำหรับข้าวอินทรีย์พันธุ์พื้นเมืองที่ได้ผลผลิตในปีที่ผ่านมา ได้แก่ เฉี้ยงพัทลุง, หน่วยเขือ (วิตามินดีสูง) ข้าวเหนียวดำ และสังข์หยด ส่วนวิถีชีวิตชาวบ้านเมื่อว่างจากฤดูทำนา กลุ่มชาวนาก็ร่วมกันปลูกผักพื้นบ้าน อาทิ พริก ถั่วพลู และมะเขือ มาเป็นอาชีพเสริม เกิดกลุ่มสวัสดิการชุมชนใช้ผลได้จากปุ๋ยอินทรีย์มาให้สมาชิกที่เสียชีวิตคนละ 1,000 บาท เกิดกลุ่มออมทรัพย์วันละบาท และได้สุขภาพที่ดี กลับสู่วิถีวัฒนธรรมที่มีความสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเช่นในอดีต
จากจุดเริ่มที่เหมือนไร้ทางออก สู่ความสำเร็จที่ชาวชุมชนได้รับกันถ้วนหน้า ชาวบ้านหามติร่วมที่จะเปลี่ยนแปลงพัฒนาชุมชนของตนเอง โดยขยับระดับชุมชนขึ้นไปอีกขั้น จึงก่อตั้งเป็น “วิชชาลัยรวงข้าว” ขึ้น เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ได้เริ่มต้นมาก่อนดำเนินโครงการแล้ว เมื่อได้รับทุนสนับสนุนก็ได้มติประชาคมว่าจะร่วมกันทำเกษตรปลอดสารเคมี
ก้าวต่อไปของชาวนากลุ่มบ้านท่าช้าง ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง คาดหวังจะเป็นนาอินทรีย์ ปลอดสารเคมีอย่างสมบูรณ์ โดยจะขยายเครือข่ายออกไปทั้งลุ่มน้ำ แล้วขายข้าวในนาให้ได้ราคาสูงกว่าท้องตลาด หรือสูงกว่าราคาที่รัฐบาลประกาศรับจำนำไว้ เพราะเชื่อว่าปริมาณความต้องการมีสูง สามารถส่งออกได้ง่าย และมีลูกค้าชาวต่างชาติมาสั่งจองเป็นจำนวนมาก
สิ่งที่ชาวบ้านท่าช้างร่วมกันทำ เป็นตัวอย่างหนึ่งของชุมชนที่ร่วมกันศึกษาปัญหาของชุมชน และช่วยกันหาทางออก จนกลายเป็นชุมชนน่าอยู่อย่างยั่งยืน
ลงแขกเก็บพันธุ์ข้าว เพื่อกระจายพันธุ์ให้เกษตรกรรายอื่นๆ ต่อไป
พันธุ์ข้าวจากนาข้าวแปลงทดลอง
ชาวบ้านท่าช้างได้ฟื้นประเพณีทำขวัญข้าวขึ้นมาใหม่
กวนข้าวกระยาสารท ประเพณีดั้งเดิมที่กลับมาอีกครั้ง
ประชุมแกนนำ สร้างความเข้าใจ สร้างการมีส่วนร่วม
คิดถึงพ่อแม่ และบรรพบุรษจังเลยค่ะ เคยทำนา รู้ว่าเหนื่อยมาก กว่าจะได้เก็บเกี่ยว
สวัสดีค่ะท่าน วนาลี นาว จันทร์อร่าม หวังว่าท่านคงจะสบายดีนะคะ
พ่อ แม่ ของดิฉัน ก็มีอาชีพทำนาค่ะ แต่ตอนนี้ท่านไปสวรรค์ แล้วค่ะ
แวะมาส่งดอกไม้ให้กำลังใจ ค่ะ อย่าลืมแวะไปเยี่ยมครูทิพย์บ้างนะคะ