อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นนายแพทย์ผู้บุกเบิกการแพทย์ชนบท และการแพทย์สมัยใหม่ ผู้ร่วมจัดทำแผนสาธารณสุขแห่งชาติ
เกิด :: 31 พฤษภาคม 2454
ถึงแก่อสัญกรรม :: 8 กรกฎาคม 2554 สิริอายุ 100 ปี
เกิดที่อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดบรมนิวาส เรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 และได้เข้ารับการศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ปัจจุบัน คือ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล) และได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมัน
ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุขในปี 2523 และปี 2524
สมรสกับ แฉล้ม พริ้งพวงแก้ว ที่เป็นนางพยาบาลที่อยู่ด้วยกันมานาน มีบุตรชาย 3 คน และบุตรหญิง 2 คน
ถึงแก่อสัญกรรมด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด มีภาวะช็อก และ ไตวาย
1.ช่วงหลังจบการศึกษา
- ศ.นพ. เสม พริ้งพวงแก้ว จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
-ในปี 2478 ได้จัดตั้งโรงพยาบาลเอกเทศขึ้นที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อรับมือกับการระบาดของอหิวาตกโรค
- เริ่มงานศัลยกรรมและงานทันตกรรมที่โรงพยาบาลเทศบาลนครสวรรค์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีงานนี้ในชนบท
2.ช่วงการทำงานที่จังหวัดเชียงราย
- ปี 2480 ย้ายมาประจำที่จังหวัดเชียงราย
- สร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงรายขึ้น ชื่อว่า “โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์”
- ร่วมมือกับสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย สร้างนิคมโรคเรื้อนแม่ลาว ณ ตำบลธารทอง อำเภอพาน
- เริ่มการรักษาโรคทางศัลยกรรมชนบทกับโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ โรคคอพอกในประชาชน
- เริ่มการป้องกันโรคคอพอก โดยการให้ไอโอดีนในหญิงที่ตั้งครรภ์และในเด็ก สร้างอาสาสมัครสาธารณสุขในหมู่บ้าน
- ให้เจ้าหน้าที่เสนารักษษ์จากทางกองทัพมาเป็นผู้ช่วยในการผสมยา ช่วยในงานผ่าตัด และ การให้ยาระงับความรู้สึกด้วยการดมทางจมูก
- สร้างตึกสูติกรรม นรีเวชกรรม ให้แม่มาคลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย
- สร้างตึก พนม นครานุรักษ์ ใช้สำหรับเป็นอาคารสงฆ์อาพาธ
- ให้บริการทางทันตกรรมกับนักเรียนและประชาชนในชนบท
- สร้างอาคารสำหรับรังสีวิทยาขึ้นในโรงพยาบาล และสร้างโรงครัว โรงซักฟอก และ โรงเก็บศพ
- จัดตั้งธนาคารเลือดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย
- ให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน จัดทำสถานีอนามัย และจัดให้มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลออกเยี่ยมประชาชน
3.ช่วงระหว่างสงคราม
- ได้ทดลองใช้น้ำมะพร้างอ่อนช่วยชีวิตผู้ขาดน้ำในป่าลึก
- ศึกษาการใช้ต้นกาสามปีกในการรักษาโรคไข้จับสั่น
- ศึกษาการใช้ต้นโมกหลวงเพื่อรักษาโรค Amaebic Dysentery (โรคบิดมีตัว)
- ใช้ Morphine ในการรักษาพยาบาล
4.ช่วงที่ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานคร
- ในปี 2494 เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลหญิงหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ในปัจจุบัน คือ โรงพยาบาลราชวิถี) และ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลผดุงครรภ์
- เป็นผู้แทนของไทยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาให้การช่วยเหลือทางด้านการแพทย์และ
สาธารณสุขทั่วประเทศ
- ได้ขอผู้เชี่ยวชาญทางโลหิตวิทยาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาศึกษาโรค Thalassemia
- จัดตั้งธนาคารเลือดในพระนคร ทำให้ประเทศไทยมีเลือดให้ผู้ป่วยทั้งชนิดเลือดสดและน้ำเหลืองแห้ง ส่งให้ทั้งในพระนครและต่างจังหวัด และ เปิดอบรมเจ้าหน้าที่พยาบาลให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการถ่ายเลือด
- จัดตั้งโรงพยาบาลวิสัญญีทางการให้ยาระงับความรู้สึก สร้างตำราวิสัญญีพยาบาล
- จัดตั้งโรงพยาบาลผดุงครรภ์
- สร้างโรคพยาบาลสำหรับสตรีและเด็ก และ สร้างสถานนุเคราะห์เด็กที่บ้านราชวิถี
- สร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัดให้ครบทุกจังหวัด
- จัดตั้งสมาคมศัลยกรรมแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย
- ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดโครงสร้างในกระทรวงสาธารณสุขใหม่ ต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
- การกระจายการแพทย์ออกไปสู่ต่างจังหวัดและชนบท (จัดตั้งโรงพยาบาลประจำจังหวัด)
- ศัลยกรรม (การใช้ยาระงับความเจ็บปวด , การใช้ morphine)
- สูติกรรม และ นรีเวชกรรม (จัดตั้งโรงพยาบาลเกี่ยวกับสตรีและเด็ก , โรงพยาบาลผดุงครรภ์)
- โลหิตวิทยา (จัดตั้งธนาคารเลือด , ศึกษาเรื่องโรค Thalassemia)
ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้แก่
- แพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- แพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- แพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- สังคมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
- มหาวชิรมงกุฎ
- ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
- เหรียญชัยสมรภูมิ
- เหรียญอาษากาชาดชั้น 1
- เหรียญราชวัลลภ
- มูลนิธิหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร
- มูลนิธิหมอชาวบ้าน
- มูลนิธิเด็ก
- มูลนิธิแพทย์ชนบท
- มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก
- สหทัยมูลนิธิ
- ศูนย์รวมน้ำใจ บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535
- มูลนิธิสุขภาพไทย
“ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งความคิดสร้างสรรค์”
การเป็นหมอที่ดี ไม่ควรเอาแต่ศึกษาความรู้ในตำราเท่านั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องมีคือ ความคิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยวิชาความรู้ และการสังเกต
“ไม่ควรยึดเอาวิชาความรู้เป็นใหญ่ ให้ยึดเอาสังคมเป็นใหญ่”
ให้คิดอยู่เสมอว่าความรู้หรือการศึกษาที่เรามีนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่ออวดโอ้ แต่มีไว้เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า
“มองการทำงานในแง่กว้าง”
หลักสำคัญในการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้น คือ การมองในแง่กว้าง เพื่อที่จะแก้ปัญหานั้นๆได้ดีและเกิดประสิทธิภาพต่อส่วนรวมมากขึ้น
“หากเราตั้งใจทำสิ่งดีๆด้วยความบริสุทธิ์ใจ สุจริตและยุติธรรม ย่อมทำให้สังคมได้รับประโยชน์ และทำให้สังคมมีความสุข”
“การออกไปทำงานบ้านนอกคือการเรียนภาคปฏิบัติที่สำคัญ และเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ได้สร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น”
การทำงานไม่ว่าจะทำที่ใดไม่สำคัญ ยิ่งเราบุกบั่นฝ่าฟันมากเท่าไหร่ สิ่งตอบแทนที่ได้กลับมายิ่งมีคุณค่ามากเท่านั้น ดังนั้นการทำงานในชนบทก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งที่ได้ช่วยสร้างความสุขให้กับบุคคลที่ยากไร้
“การเอาใจใส่ดูแลประชาชนโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ”
ไม่เกี่ยงว่าคนไข้จะเป็นใคร มาจากไหน หรือว่ามีฐานะเพียงใด แค่เราทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดก็พอ
“มีความมุ่งมั่น อดทน และหมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา”
เพราะกาลเวลายังคงเดินต่อไป สิ่งต่างๆก็ล้วนแต่มีเกิดและดับตามกาลเวลา ก็ไม่ต่างอะไรกับความรู้ที่ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเป็นหมอที่ดีคือการที่ตามความรู้ให้ทันกับเวลาที่ไม่มีวันหยุดเดิน
การเปลี่ยนชื่อจากคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยเป็นคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ในสมัยรัชกาลของพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้จัดตั้งโรงพยาบาลในปี 2429 จึงได้จัดตั้งโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทยขึ้นที่ด้านใต้ของพระราชวังสถานพิมุข โดยตั้งชื่อว่า “โรงพยาบาลวังหลัง”ในปี 2431 พระองค์ได้เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาล และได้พระราชทานนามใหม่ว่า “โรงศิริราชพยาบาล” ต่อมา สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เห็นว่า การจัดหาแพทย์นั้นมีความยากลำบาก จึงกราบทูลให้มีการจัดตั้งวิทยาลัยแพทย์ขึ้น ในปี 2436 ก็ได้เปิด “โรงเรียนแพทยากร” ขึ้นอย่างเป็นทางการ และมีการพัฒนาจนได้รับพระราชทานนามขึ้นใหม่ว่า “โรงเรียนแพทยาลัย” ในปี 2443ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ได้สถาปนา “จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย” ขึ้นในปี 2459 จึงได้จัดโรงเรียนแพทยาลัยเข้าเป็นคณะในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยด้วย และพระราชทานนามว่า “คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ต่อมาในปี 2461 ก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล”ในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้จัดระเบียบบริหารราชการใหม่และได้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” ขึ้นในปี 2486 ได้โอนคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลเข้ามาเป็นคณะในสังกัดของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ จึงถึงปี 2512 ในรัชกาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ได้พระราชทานนามใหม่ให้แก่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ว่า “มหาวิทยาลัยมหิดล” จึงได้เปลี่ยนชื่อคณะใหม่เป็น “คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล” มหาวิทยาลัยมหิดลศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว นั้นได้เข้ารับการศึกษาในคณะแพทยศาสตร์โดยที่สมัยนั้นยังคงเรียกว่า “คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ในสังกัดของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย หลังจากที่ท่านจบแล้วจึงได้ย้ายสังกัดมาเป็นของมหาวิทยาลัยมหิดล ก็คือ “คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล” ในปัจจุบัน
ไม่มีความเห็น