จากการศึกษาขั้นตอนต่างๆ ของการตรวจวิเคราะห์ Enterococci ในน้ำทะเลตามเอกสารวิธีทดสอบที่ได้จัดทำขึ้น เราก็มาทำการตรวจวิเคราะห์กันเลย
เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์และเครื่องแก้วต่างๆ ซึ่งไม่ต่างจากการตรวจวิเคราะห์ Fecal Coliform เพราะใช้วิธี Membrane Filter เหมือนกัน ในส่วนของอาหารเลี้ยงเชื้อและขั้นตอนการยืนยันเชื้อ Enterococci จะเยอะและยุ่งยากมากกว่า Fecal Coliform
1. อาหารเลี้ยงเชื้อ ที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ Enterococci ประกอบไปด้วย
- mE agar
- EIA (Esculin Iron Agar)
ในส่วนของการตรวจยืนยันเชื้อ (confirm) ประกอบไปด้วย
- BHIB (Brain Heart Infusion Broth)
- BHIB with 6.5% NaCl
- BHIA (Brain Heart Infusion Agar)
- BEA (Bile Esculin Agar)
และมีการย้อมสี Gram stain เพื่อดูลักษณะของเชื้อ Enterococci ด้วย
2. ขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์
- ทำการกรองน้ำตัวอย่าง โดยเลือกปริมาตรของตัวอย่างที่ต้องการจะกรอง เพื่อให้ได้โคโลนีประมาณ 20-60 โคโลนี ปกติจะเลือกใช้ 100,50,5 ml กรองตัวอย่างผ่านกระดาษกรอง membrane cellulose nitrate 0.45 µm., 47 mm. แล้วนำแผ่นกระดาษกรองไปวางลงบนจานเพาะเชื้อ mE agar แล้วนำ incubate ที่อุณหภูมิ 41 ± 0.5°C เป็นเวลา 48 ชั่วโมง
- ทำการย้ายแผ่นกรอง membrane ไปลงบนจานเพาะเชื้อของ EIA วางไว้ที่อุณหภูมิห้องก่อนประมาณ 20-30 นาที และ incubate ต่อไปที่อุณหภูมิ 41 ± 0.5°C เป็นเวลา 20-30 นาที หลังจากการ incubate ให้ทำการนับและบันทึกโคโลนีที่พบ โดยนับโคโลนีที่ให้สีชมพูถึงแดงเข้มบน mE agar และให้สีน้ำตาลถึงดำบน EIA โดยในจานเพาะเชื้อ EIA ให้อ่านด้านหลังจาน นับโคโลนีที่เกิดการซึมกระจายตัวในอาหารเลี้ยงเชื้อ EIA นั่นคือ เชื้อ Enterococci เลือกจานเพาะเชื้อที่มีเชื้อขึ้นเหมาะสม คือ ประมาณ 20-60 โคโลนี ใช้ในการรายงานและคำนวณผล
- การตรวจยืนยันเชื้อ ให้ทำการถ่ายเชื้อที่มีการซึมกระจายตัวใน EIA โดยใช้ needle ที่ทำการฆ่าเชื้อแล้วเขี่ยตรงกลางโคโลนีที่กระจายตัวดีอย่างน้อย 10 โคโลนี ลงในหลอด BHIB และลงบนหลอด BHIA slant ทำการ incubate BHIB 24 ชั่วโมง และ BHIA slant 48 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 35 ± 0.5°C
- หลังจาก 24 ชั่วโมง ให้ถ่ายเชื้ออีกครั้ง โดยใช้ loop ที่ทำการฆ่าเชื้อแล้ว จากหลอด BHIB ลงใน BEA, BHIB และ BHIB with 6.5% NaCl ทำการ incubate BEA และ BHIB with 6.5% NaCl ที่อุณหภูมิ 35 ± 0.5°C 48 ชั่วโมง และ incubate BHIB ที่อุณหภูมิ 45 ± 0.5°C 48 ชั่วโมง ทำการสังเกตการเจริญเติบโตของเชื้อ Enterococci จากอาหารทั้ง 3 ชนิด
- ทำการย้อมสีแกรมในส่วนของ BHIA slant เมื่อทำการ incubate ครบ 48 ชั่วโมงแล้ว และบันทึกผลเก็บไว้
3. สรุปผลการตรวจวิเคราะห์
กรณีที่เป็น enterococci จะให้ผลดังนี้ คือ
- ผลการย้อมสีแกรม เชื้อจะเป็น Gram positive cocci (ติดสีม่วง รูปร่างกลม)
- เจริญและมีการสลาย esculin ใน BEA โดยจะเปลี่ยนอาหารในหลอดเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม
- เจริญใน BHIB ที่อุณหภูมิ 45 ± 0.5°C และ BHIB with 6.5% NaCl ที่อุณหภูมิ 35 ± 0.5°C โดยสีเหลืองของอาหารจะขุ่นขึ้นกว่าเดิม
4. ปัญหาในการตรวจวิเคราะห์
เนื่องจากเป็นการพัฒนาวิธีทดสอบใหม่ ซึ่งไม่เคยทำการทดสอบมาก่อนเลย ทำให้มีปัญหาในการทดสอบเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น
- ไม่เข้าใจการเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อที่ถูกต้อง ในอาหารที่ต้องเติมเกลือลงไป ทำให้เกิดการผิดสัดส่วนของเกลือ เนื่องจากอาหารเลี้ยงเชื้อเองก็มีเกลือผสมอยู่แล้ว ทำให้การทดสอบในครั้งแรกไม่สำเร็จ จึงต้องมาทำการหาข้อผิดพลาดกันใหม่ และได้ไปศึกษาเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม จึงทราบถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
- ไม่ศึกษาวิธีทดสอบให้ละเอียด ทำให้เกิดความผิดพลาดในการอ่านโคโลนีบนอาหารเลี้ยงเชื้อ EIA ซึ่งต้องสังเกตโคโลนีที่สามารถย่อย EIA และเปลี่ยนสีโคโลนีเป็นน้ำตาลถึงดำ โดยการดูโคโลนีต้องดูจากด้านหลังของจานเพาะเชื้อ ไม่สามารถดูจากด้านหน้าได้ การทดสอบครั้งแรกจึงเกิดการผิดพลาด ทำให้ต้องไปศึกษาเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม และดูภาพที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของเชื้อบนอาหาร EIA จาก internet มาเปรียบเทียบจึงเข้าใจลักษณะของสี และปฏิกิริยาที่เกิดในการ confirm เชื้อบนอาหาร EIA
- ด้วยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดของห้องปฏิบัติการ ในการพัฒนาการตรวจวิเคราะห์ enterococci ซึ่งใช้งบประมาณไปในการจัดหาสารเคมี และอาหารเลี้ยงเชื้อ ซึ่งค่อนข้างมีราคาสูง งบประมาณจึงไม่เพียงพอ บางสารเคมีที่จำเป็นต้องใช้ในการตรวจยืนยันเชื้อ เช่น สีย้อมแกรม ซึ่งใช้ในปริมาณที่ไม่มาก แต่จำเป็นต้องใช้ ทำให้ต้องหามาโดยการขอจากห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล โดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่
ถึงแม้ว่าเราทำการทดลองตรวจวิเคราะห์ไปแล้ว แต่ทักษะ ความชำนาญ ความมั่นใจในการอ่านผลการทดสอบ ยังคงต้องทำการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญมากขึ้น ทั้งในเรื่องการดูลักษณะของโคโลนีและ confirm เชื้อเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเมื่อนำวิธีการทดสอบที่พัฒนาขึ้นนี้ไปใช้ในการทดสอบตัวอย่างจริง จะได้มีความถูกต้อง แม่นยำ เชื่อถือได้ และข้อมูลที่ได้จากการทดสอบของห้องปฏิบัติการสามารถนำไปใช้ในการจัดประเภทคุณภาพน้ำทะเลตามมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลในระดับประเทศได้