เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เขียน ได้เห็นข่าวจากเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องการดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านในจังหวัดแพร่ เมื่อได้อ่านรายละเอียดในข่าวพบว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของผู้เขียนเอง กล่าวคือมีการขุดดินลูกรังบริเวณหมู่ บ้านมหาโพธิ์ ตำบลป่าแมต อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เพื่อนำดินไปสร้างถนนสายแพร่-อ.ลอง และบ่อดังกล่าวได้กลายเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ชาวบ้านใน อ.เมืองแพร่ และอำเภอใกล้เคียงที่ทราบข่าวบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคได้ต่างพากันเดินทางมาจุดธูปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนตักน้ำไปดื่ม ทา และอาบ เป็นยารักษาโรคได้สารพัด
หลังจากมีข่าวแพร่สะพัดปรากฏมีผู้ที่ยืนยันว่าได้นำน้ำในบ่อดังกล่าวไปใช้แล้ว พบ ว่าหายจากโรคร้ายที่โรงพยาบาลรักษาไม่หาย เช่นโรคผิวหนังเรื้อรัง ซึ่งผู้เขียนได้สอบถามไปยังญาติพี่น้องซึ่งต่างก็บอกว่าได้นำน้ำดังกล่าวไปชโลมบริเวณหัวเข่าคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่เป็นโรคข้อเสื่อม ทำให้อาการของโรคดีขึ้นและหายได้ ประชาชนที่สนใจต่างทยอยกันมาตักน้ำทั้งคนในหมู่บ้านและจากที่อื่น
ชาวบ้านที่เดินทางมาตักน้ำต่างเชื่อว่าน้ำในบ่อที่เป็นยารักษาโรคได้เกิดจากอำนาจของผีที่เคยมีอิทธิฤทธิ์ในสมัยที่บริเวณนี้เป็นป่า คือ เจ้าพ่อจำแดง เป็นผีป่าที่รักษาห้วยจำแดง ในอดีตเป็นพื้นที่ที่น่ากลัว ซึ่งเมื่อผู้เขียนเป็นเด็กก็ไม่เคยไปบริเวณนั้น เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าหากไปแล้วอาจทำให้เจ็บป่วยกลับมาได้ และหากใครที่เข้ามาในบริเวณดังกล่าวจะเกิดฟ้าฝนรุนแรงและบางครั้งก็จะเดินหลงในป่าจนไม่สามารถออกไปจากป่าได้ แต่ถ้ามีใครเจ็บป่วยมาเลี้ยงผีเจ้าพ่อจำแดงก็จะทำให้หายป่วยได้ เหตุการณ์ความน่ากลัวและความเชื่อในการรักษาโรคดังกล่าวเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมานานและขณะนี้ชาวบ้านเชื่อว่าเจ้าพ่อจำแดงออกมาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง ให้เห็นถึงอำนาจลี้ลับของป่าโดยกลับมาช่วยเหลือคนให้หายจากอาการเจ็บป่วย ความเชื่อนี้มีมาแต่ช้านานแล้ว
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูด้วยตัวเอง พบว่ามีชาวบ้านในหมู่บ้านมหาโพธิ์ และหมู่บ้านใกล้เคียงพากันเดินทางมาเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อดังกล่าว น้ำบ่อที่ว่านี้มีความเย็น น้ำมีสีเขียวใส เมื่อสอบถามชาวบ้าน ต่างบอกว่ามาเอาหลายครั้งแล้ว เมื่อเอาไปอาบรู้สึกว่าจะหายปวดเมื่อยตามลำตัว หากเอามาลูบที่แผลที่เป็นผื่นคัน แผลเหล่านั้นก็จะหาย ผู้เขียนจึงเก็บข้อมูลต่างๆแล้วนำมาวิเคราะห์ตามทฤษฎีคติชน สันนิษฐานว่า เกิดจากความเชื่อ จากการสัมภาษณ์ชาวบ้านว่าทำไมถึงเชื่อว่าน้ำศักดิสิทธิ์จริง ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า เขาทำพิธีเข้าทรงมีเจ้าพ่อในป่าแห่งนี้แสดงอิทธิฤทธิ์มาโปรดชาวบ้านในช่วงเวลาหนึ่ง แต่หลังจากนี้เจ้าพ่อองค์นี้จะไปโปรดชาวบ้านที่อื่นต่อไป เรื่องความลี้ลับของป่าบริเวณดังกล่าวนั้น ผู้เขียนเคยได้ฟังญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ชื่อยายจันฟอง คล่องแคล่ว ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กมักจะไปฟังท่านเล่าเรื่องอดีตต่างๆนาๆ ถึงเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้าน รวมทั้งบริเวณที่พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วย และท่านเล่าให้ฟังว่าแต่เดิมหมู่บ้านมหาโพธิ์มีวัดประจำหมู่บ้านชื่อวัดคำกลิ้ง ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้นผู้เขียนก็จำไม่ได้เสียแล้ว ผู้เขียนจึงไปศึกษาประวัติของวัดมหาโพธิ์ จากหนังสือที่ระลึกพิธีอบรมสมโภชพระประธานและพุทธาภิเษก(๒๕๔๔)[1] ซึ่งเจ้าอาวาสวัดมหาโพธิ์ได้จัดพิมพ์แจกจ่าย พอผู้เขียนอ่านข่าวดังกล่าวจึงต้องนำหนังสือเล่มนี้มาอ่านประวัติอีกครั้ง
ในประวัติกล่าวว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๓ ตรงกับศักราช๑๒๐๑ เป็นแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่ราชวงค์จักกรี ณ เมืองโกศัย (แพร่) มีพระมหาเถระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นพระมหาเถระที่สำเร็จญาณสมบัติชั้นสูง มีนามว่า มหาเถร หรือครูบาสูงเม่น ได้กลับจากการไปศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกและวิปัสนากรรมฐานจากประเทศพม่า การกลับจากประเทศพม่าของพระมหาเถรหรือครูบาสูงเม่นครั้งนี้ ท่านได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุนี้มาถวายแก่เจ้าผู้ครองเมืองโกศัย ซึ่งมีพระนามว่า เจ้าหลวงอินทวิชัย เจ้าผู้ครองนคร เมื่อได้รับธาตุจากมหาเถรแล้ว ก็ได้นำไปพระนคร และได้เข้าเฝ้าพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นทรงพระนามว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ เพราะยังมิได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ และได้กราบทูลเรื่องราวที่ได้พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันต์ธาตุจากพระมหาเถรให้ทรงทราบ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานโกษทองคำที่บรรจุพระธาตุกลับคืนเมืองโกศัย แล้วก็ได้ออกแสวงหาสถานที่สำหรับสร้างพระเจดีย์บีจุโกษพระธาตุแสวงหาอยู่หลายวัน ก็มาพอใจสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำยม อันอยู่ตรงข้ามกับตัวเมือง เป็นป่าใหญ่ที่ร่มเย็น มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน
ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีลักษณะถูกต้องตามพระราชดำรัสของพระจอมเกล้าทุกประการ เจ้าหลวงอินทะวิชัยจึงมีคำสั่งให้ชาวบ้านหมู่หนึ่ง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะสร้างเจดีย์ประมาณ ๘๐๐ เมตร ชาวบ้านหมู่นี้มีประชากรประมาณ ๑๐๐ คน ได้ถูกเกณฑ์เข้าแผ้วถางตัดฟันป่าใหญ่ครั้งนี้ พอตัดฟันแผ้วถางไปจนถึงที่ที่จะสร้างเจดีย์ ชาวบ้านก็พบงูเหลือมตัวหนึ่ง ซึ่งอาศัยดุจเจ้าของที่ ชาวบ้านหมู่นี้จึงพากันฆ่างูตัวนั้นและนำไปย่าง การย่างงูตัวนั้นเหมืนกับการย่างหมูเพราะทันอุดมด้วยมันมากนัก บางคนก็เอาไปแกงกิน บางคนก็เอาไปยำ พอพวกชาวบ้านกินเนื้องูเข้าไปก็พากันมึนเมาเหมือนเมาเหล้า แล้วก็พากันล้มตายด้วยการกินเนื้องูตัวนั้น พวกที่รอดตายเพราะไม่ได้กินเนื้องู ก็พากันกลัวว่าจะเกิดอุบาทว์ หรืออาเพศ ก็พากันอพยพออกจากหมู่บ้านนั่น ก็ทำให้หมู่บ้านนั้นกลายเป็นหมู่บ้านร้างไป เจ้าหลวงอินทะวิชัยจึงได้เกณฑ์ชาวบ้านหมู่อื่นเข้าแผ้วถางตัดฟันแทน จนสถานที่นั้นโล่งเตียนเรียบราบงามดีแล้ว เจ้าหลวงอินทะวิชัยก็พาพระมเหสีองค์หลวง มีชื่อว่า แม่เจ้าสุพรรณวดี สร้างเจดีย์สำหรับบรรจุโกษขึ้น โดยลงมือขุดองค์เจดีย์เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๔ เหนือ ออก ๘ ค่ำปีไก้(กุน) ศักราช ๑๒๐๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๘๒
พอถึงวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ยามพระเจ้าตรัสรู เจ้าหลวงอินทะวิชัยก็ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันต์ธาตุนั้นซึ่งได้บรรจุไว้ในพานทองคำ จำนาน ๑๑๖ องค์(เม็ด/ลูก) แล้วได้นำเอาโกษทองคำบรรจุไว้ในโกษเงิน แล้วนำเอาโกษเงินบรรจุในโกษทองสัมฤทธิ์ แล้วได้นำเอาโกษทองสัมฤทธิ์ขึ้นตั้งบนหลังช้างซึ่งเจียระไนด้วยแก้วหิน แล้วเอาช้างแก้วบรรจุโกษพระธาตุนี้ขึ้นใส่ในปราสาทไม้สัก ซึ่งมีความกว้าง ๓ ศอก ยาว ๑๐ ศอก แล้วเอาอิฐก่อเป็นเจดีย์ครอบแล้วหลูบด้วยทอง จั๋งโก๋ ๑๐๐๕ แผ่น แล้วลงรักปิดทองคำเปลว ๒ แสนใบ แล้วล้อมองค์พระธาตุด้วยรั้วเหล็ก ๔ ด้าน มี ๓๖๔ เล่ม พอลุล่วงถึงศักราช๑๒๐๒ ตรงกับ พ.ศ.๒๓๘๓ ที่ทำการฉลอง โดยเจ้าหลวงอินทะวิชัยได้ป่าวร้องบอกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั่วเมืองโกศัยมาร่วมทำการฉลอง เมื่อสร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ไม่มีชาวบ้านเอาใจปรนนิบัติพระเณร เพราะบริเวณรอบๆที่พระธาตุตั้งอยู่นั้นเป็นป่า ไม่มีหมู่บ้านและชาวบ้านอาศัยอยู่ เจ้าหลวงอินทะวิชัยจึงได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านทุ่งโฮ้งจัดการเป็นเวรยาม เจ้าหลวงอินทวิชัยได้มีการจัดงานให้มีการนมัสการพระธาตุทุกๆเดือน ๗ เหนือ ขึ้น ๑๕ ค่ำของทุกปี และครั้งใดที่เจ้าหลวงอินทะวิชัยได้จัดให้มีงานนมัสการพระธาตุก็ดี ทำบุญใหญ่ๆก็ดี ทอดกฐินหรือผ้าป่าก็ดี ฝนจะตกหนักทุกคราว ไม่ว่าจะเป็นฤดูใด ยังความแปลกประหลาดมหัศจรรย์กับชาวเมืองโกศัยในสมัยนั้นมาก พอสิ้นรัชกาลของเจ้าหลวง อินทะวิชัยครองเมืองโกศัยแล้ว การจัดเวรยามเฝ้าปฏิบัติรักษา และงานขึ้นนมัสการพระธาตุก็สูญสิ้นไปตราบเท่าทุกวันนี้ และเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา พระอธิการ ดร.บุญเสริม กิตตฺวัณณฺโณ ก็ได้ฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิมของชาวบ้านมหาโพธิ์อีกครั้งโดยการจัดงานประจำปีไหว้สาพระธาตุคำกลิ้งขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ไม่มีใครสืบทอกประเพณีนี้มาตลอดหลายสิบปี ซึ่งผู้เขียนเป็นคนท้องถิ่นนี้ แต่ไม่เคยเห็นมีการจัดงานนี้เลย
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ดังกล่าวพบว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ เนื่องจากใกล้บริเวณนั้นมีวัดร้างเก่าแก่ มีสถูปเจดีย์ เชื่อว่าแต่เดิมเคยเป็นชุมชนหนึ่งที่มีวัฒนธรรมมาช้านาน และบริเวณใกล้เคียงห่างไปประมาณ สิบกว่ากิโลเมตรมีการค้นพบเมืองโบราณ คือเมืองเชียงชื่น ซึ่งเมืองเก่าที่พบนี้น่าจะเป็นเมืองเชียงชื่นที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ที่กรมพระปรมานุชิต ชิโนรส ได้ทรงพระนิพนธ์ลิลิตยวนพ่าย ที่กล่าวไว้ว่าเป็นเมืองหน้าด่านนั้น เวียงเชียงชื่นหรือเมืองลอง อาจจะเป็นที่เดียวกันนี้ จึงน่าเชื่อว่าอาณาบริเวณดังกล่าวเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาก่อน
นับตั้งแต่ผู้เขียนจำความได้ ยายจันทร์ฟอง คล่องแคล่ว
มักจะเล่าตำนานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งทานอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
และเรื่องเกี่ยวกับตำนานและที่มาของหมู่บ้านมหาโพธิ์และหมู่บ้านใกล้เคียง
ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่ายายจันทร์ฟองได้อำลาโลกนี้ไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
พอผู้เขียนเติบโตขึ้นมาก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง
แต่เมื่อมาเห็นข่าวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้
ทำให้นึกถึงเรื่องที่ยายจันทร์ฟองเล่า
ซึ่งในหมู่บ้านมักจะมีความเชื่อทางคติชนมาแต่ช้านาน
และเมื่อผู้เขียนได้นำหลักการทางทฤษฎีคติชน
และการวิเคราะห์การแพร่กระจายเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านก็ได้หยิบหนังสือ
เกี่ยวกับภาษาและวรรณคดีไทยของ ผศ.ดร.สุภาพร คงศิริรัตน์(๒๕๕๒)
[2]ได้กล่าวถึงบทบาทนิทานพื้นบ้านต่อสังคมไว้ดังนี้
๑. ให้ความเพลิดเพลิน
และช่วยให้เวลาที่ผ่านไปไม่น่าเบื่อหน่าย
เมื่อว่างจากการทำงานคนในชุมชนมักมีเวลาว่างมานั่งพูดคุยกัน
โดยเฉพาะในฤดูหนาว มีการจับกลุ่มกันผิงไฟ
และมักมาการเล่านิทาน ตำนาน หรือเรื่องเล่าต่างๆ
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “นิยายก้อม”
๒. ช่วยกระชับความสัมพันธ์ ซึ่งในสังคมชนบทส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตร จึงมักปล่อยให้เด็กอยู่กับคนเฒ่าคนแก่ที่บ้าน และ ผู้สูงอายุเหล่นี้มักมีเรื่องเล่าสนุกๆมาเล่าให้เด็กๆฟัง เป็นการกระชับความสัมพันธ์ของผู้สูงอายุกับเด็กซึ่งมีวัยแตกต่างกันมาก
๓. นิทานให้การศึกษาและเสริมสร้างจินตนาการ การเล่านิทานให้เด็กฟังนอกจากเด็กจะได้รับความสนุกสนานแล้ว เด็กยังรู้จักจินตนาการถึงเรื่องที่ฟัง วาดภาพตาม รู้จักคิดคำถาม อยากรู้อยากเห็น และมักตั้งคำถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ซึ่งการอยากรู้อยากเห็น อยากฟังต่อไปอีก เป็นการเสริมสร้างจินตนาการของเด็ก
๔. ปลูกฝังจริยธรรมและรักษาบรรทัดฐานของสังคม ในตำนานการสร้างเจดีย์ของชาวบ้านมหาโพธิ์นี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านโดยสอนให้รู้จักความสามัคคี
๕. นิทานพื้นบ้านเป็นบ่อเกิดของพิธีกรรมและประเพณี จากตำนานดังกล่าวจะเห็นถึงความร่วมมือร่วมใจในการสร้างองค์พระธาตุ และแสดงถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่นมีฝนตกหนัก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและศรัทธาในองค์พระธาตุ และเมื่อสร้างเสร็จมีการสมโภชน์เฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นประเพณีสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนอายุประมาณสิบกว่า
ซึ่งจำความได้ว่าตอนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้
ผู้เขียนได้เดินออกมานอกชานเรือนซึ่งเป็นบันไดบ้าน
คนทางเหนือเรียก หัวคันได(หัวบันได)
วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ผู้เขียนยืนมองดูฝนที่ตกลงมา
พลันสายตาก็มองไปเห็นเป็นลักษณะก้อนกลมๆจำได้ว่าเป็นสีเขียวอมฟ้าเข้มๆ
ลอบไปลอยมาที่ต้นลำไยหน้าบ้านตรงข้าม
ตอนนั้นผู้เขียนกลัวมากเพราะคิดว่าเป็นผีชนิดหนึ่งที่เรียกว่าผีพงที่ออกหากินหลังฝนตก
จึงรีบกลับเข้าบ้านด้วยใจระทึก
พอรุ่งเช้าก็เล่าให้ญาติพี่น้องฟัง
ญาติๆเห็นเป็นเรื่องปกติ
แล้วบอกกับผู้เขียนว่าเป็นเป็นธาตุ ซึ่งตอนนั้นไม่เข้าใจ
ก็พยายามจะถามผู้รู้หลายท่านว่าธาตุคืออะไร
ทำไมต้องมีสีลอยไปลอยมา
ผู้เขียนได้นึกย้อนไปหาเหตุการณ์แล้วมาเชื่อมโยงกับการศึกษาตำนานประจำถิ่นเกี่ยวกับองค์พระธาตุจากงานวิจัยของสายป่าน
ปุริวรรณชนะ(๒๕๕๒ : ๑)[3]
ได้ให้ความหมายของนิทานประจำถิ่น(mythical legend) หมายถึง
เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งที่เป็นเทพเจ้า คน สัตว์
และวัตถุสิ่งของต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับความเชื่อพื้นบ้าน
แต่ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นตำนานปรัมปรา(myth)
ในการศึกษาทางคติชนวิทยาของนิทานประจำถิ่นของชาวบ้านมหาโพธิ์นั้นเมื่อศึกษาข้อมูลแล้วน่าจะจัดเป็นเรื่องเล่า
(narratives)
ซึ่งระเบียบวิจัยหนึ่งท่าสามารถนำมาใช้จัดจำแนกได้แก่
การจัดแบบเรื่องของนิทาน สติธ ทอมป์สัน(Stith Thompson)[4]
ซึ่งได้อธิบายแบบเรื่องไว้ว่า แบบเรื่อง คือ
นิทานเรื่องหนึ่งๆ ที่ดำรงอยู่อย่างอิสระ
นิทานนั้นๆสามารถนำมาเล่าได้ในฐานะเรื่องเล่าที่สมบูรณ์ในตัวเอง
และไม่ต้องอาศัยความหมายที่อ้างอิงจากนิทานเรื่องอื่นๆ
แน่นอนว่านิทานเรื่องที่ว่านี้อาจถูกนำมาเล่าพร้อมนิทานอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ความจริงที่ว่านิทานเรื่องนั้นสามารถปรากฏอยู่ได้โดยลำพังก็เป็นข้อพิสูจน์ความเป็นอิสระในตัวเองของนิทานเรื่องดังกล่าว
นิทานแบบเรื่องหนึ่งอาจประกอบด้วยอนุภาคเพียงอนุภาคเดียวหรือหลายอนุภาคก็ได้
จากตำนานการสร้างเจดีย์ ของชาวบ้านมหาโพธิ์นั้น ศิราพร ณ ถลาง. (๒๕๕๒ : ๑๙๐) ได้กล่าวถึงอนุภาคของนิทานไว้ว่า การแพร่กระจายของนิทานนั้นมีลักษณะการหยิบเอาอนุภาคที่เป็นที่นิยมไปผลิตซ้ำ และแปลงสาร สร้างนิทานเรื่องใหม่[5] ในประเพณีการถ่ายทอดนิทานแบบมุขปาฐะ จะมีนิทานมากมายหลายร้อยเรื่องอยู่ในแต่ละท้องถิ่น นิทานเหล่านี้ดำรงอยู่ราวกับว่ามีสังคมนิทานของตนเอง เสมือนหนึ่งนิทานก็มีชีวิต มีการแลกเปลี่ยน หรือ หยิบยืมอนุภาคจากเรื่องหนึ่งไปใช้ในอีกเรื่องหนึ่ง เช่นเดียวกับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการปะทะสังสรรค์กันในสังคมของเรา ดังนั้นจึงปรากฏว่าอนุภาคใดที่เป็นที่นิยมมากๆ อาจไปปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของนิทานเรื่องต่างๆได้
จากตำนานต่างๆของชาวบ้านมหาโพธิ์ได้นำเอาการวิเคราะห์ของศิราพร ณ ถลาง เกี่ยวกับอนุภาคการกินสัตว์เผือกแล้วทำให้เมืองล่ม เช่นตำนานปรัมปราของภาคเหนือ คือตำนานสิงหนวัติกุมารได้กล่าวถึงกษัตริย์เมืองโยนกนคร และราษฎรที่กินเนื้อปลาตะเพียนเผือกแล้วทำให้โยนกนาคนครล่ม ตำนานเชียงแสนชาวเมืองกินปลาไหลเผือก ตำนานหนองหาน หรือตำนานผาแดงนางไอ่ ที่กล่าวถึงชาวเมืองที่กินเนื้อกระรอกเผือก อนุภาคการกินเนื้อสัตว์เผือกแล้วทำให้เกิดเมืองล่มในตำนานโบราณ เป็นที่อยู่ในใจของผู้เล่านิทานและอยู่ในการรับรู้ของชาวบ้าน ทำให้ถูกนำมาแปลงสารเป็นการกินสัตว์ชนิดต่างๆเพื่ออธิบายสภาพ หรือสาเหตุการเกิดของหนองน้ำต่างๆในท้องถิ่น
การหยิบเอาอนุภาคที่เป็นที่รู้จักดีและเป็นที่นิยมไปแปลงสาร หรือผลิตซ้ำ ในการเล่านิทานเรื่องอื่นๆเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้อนุภาคนั้นๆได้รับการสืบทอดให้มีชีวิตสืบต่อไป ซึ่งในการแพร่กระจายของนิทานหรือในการถ่ายทอดนิทานด้วยการบอกเล่านั้น ชีวิตของนิทานย่อมขึ้นกับผู้เล่าเป็นสำคัญ หากผู้เล่าชอบนิทานเรื่องใด หรือชอบอนุภาคใดเป็นพิเศษ หรือถ้าผู้เล่าสังเกตว่าผู้ฟังชอบนิทานเรื่องใดหรือชอบอนุภาคใดเป็นพิเศษ ก็จะเล่านิทานนั้นบ่อยๆ หรือแทรกอนุภาคนั้นๆเข้าไปในนิทานเรื่องต่างๆหรือนำไปแปลงสาร หรือผลิตซ้ำ มาถึงตอนนี้ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงแม่จันทร์ฟองที่มักจะเล่าเรื่องตำนานวัดคำกลิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ผู้เขียนฟัง หรืออาจกล่าวได้ว่าตำนานจึงเป็นสิ่งที่ใช้บอกอัตลักษณ์ของกลุ่มชนหรือชาติพันธุ์ จะเห็นว่าข้อมูลคติชนที่เป็นมุขปาฐะได้ช่วยทำหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นให้คนในท้องถิ่นได้รับรู้ประวัติความเป็นมา และมีความภาคภูมิเกี่ยวกับรากเหง้าของตนเอง
ดังนั้นนิทานจึงเป็นผลผลิตทางภูมิปัญญาของนักปราชญ์ ผู้รู้พื้นบ้าน สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม ทั้งบันเทิง สาระความรู้ คติสอนใจ มีทั้ง วรรณกรรมมุขปาฐะ ถ่ายทอดผ่านรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งจนแพร่หลายในสังคมจนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เช่นนิทานพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย และวรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรม ตำนาน นิทาน คำสอนที่ปราชญ์บันทึกไว้เป็นต้นบทในการ ขับ อ่าน แสดง วรรณกรรมท้องถิ่นย่อมสัมพันธ์กับฉันทลักษณ์และชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมของท้องถิ่นนั้น ๆ และส่งต่ออิทธิพลให้กับสังคมรุ่นต่อ ๆ ไป
[1] พระอธิการ ดร.บุญเสริม กิตตฺวัณณฺโณ. (๒๕๕๔).ที่ระลึกพิธีสมโภชพระประธานและพุทธาภิเษกพระประธานอินทรวิชัยวัดมหาโพธิ์.
[2] สุภาพร คงศิริรัตน์. (๒๕๔๗). เอกสารคำสอนคติชนที่เกี่ยวกับภาษาและวรรณคดีไทย. พิษณุโลก : สาขาวิชาภาษาไทย คณมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
[3] สายป่าน ปุริวรรณชนะ. (2552). ตำนานประจำถิ่นริมแม่น้ำและชายฝั่งทะเลภาคกลาง : ความสมานฉันท์ในความหลากหลาย. กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ขอบคุณค่ะได้คสามรู้เพิ่ม
อนุโมทนา..คุณครู...
ขอบคุณสำหรับเกร็คความรู้ครับอาจารย์