"การจัดการความขัดแย้งในสังคมไทย"
อันดับแรกต้องมองว่าไม่ได้ขัดแย้งนะครับ มันคือบางคน บางกลุ่ม
หรือมนุษย์ทุกๆคนคิดต่างกัน
จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับยอมรับได้มากน้อยเพียงไร
ผมไม่ตัดสินว่าเราแตกแยกกันนะ
ผมว่าเป็นการสร้างความสามัคคีต่างหากลองนึกพิจารณาย้อนไปซิครับว่าปัจจุบันอาจจะมีสองกลุ่มใหญ่ๆหรือสามหรือสี่ก็แล้วแต่จะมองกัน
ทีนี้ลองพิจารณาสิครับว่าเมื่อก่อนคนทางอีสานไกลเลยนะจะเป็นกลุ่มเดียวกับคนเหนือหรือไม่
ก็ไม่แน่ชัดนะ
เพราะฉะนั้นคนทั้งประเทศก็คิดเห็นต่างกันเป็นหลายร้อยกลุ่มความคิดหรืออาจจะเป็นล้านๆความคิดเห็น
ต่างคนต่างอยู่ก็ได้ แต่ลองพิจารณาตอนนี้สิครับกลับเหลือเพียงสอง
สามกลุ่มใหญ่ๆในประเทศเท่านั้นครับ
อีกสักหน่อยอาจจะเป็นกลุ่มเดียวก็ได้ ใครจะรู้
ประการที่สอง ต้องพลิกมุมมองใหม่ครับว่า ตนเอง
เราเองนี้แหละที่ต้องติดตามดูความคิดการตัดสินของเราเองก่อน
อย่าด่วนตัดสินอะไรต่อมิอะไร ดู ฟัง ให้จบก่อนครับ หยุด"พิพากษา
ตีความ"ก่อน เรื่องวุ่นๆก็จะไม่เกิดครับ
ประการที่สาม เริ่มต้นที่ตนเองครับรับผิดชอบชีวิตตนเองให้
มีวินัย ให้เกียรติคำพูด คือ
พูดแล้วทำจริงๆได้ไม่ได้อยู่ที่ทำหรือไม่ทำ ไม่มองไปข้างนอกก่อนนะครับ
กลับมองที่ตนเองก่อน ปรับ พัฒนาที่ตนเองก่อน วิธีคิดกับชีวิตตนเอง
ผู้คน สังคม รับผิดชอบพื้นที่ชีวิตตนเองให้เต็มที่
หยุดพร่ำบ่นทุกสิ่งที่เกิดในชีวิตตนเอง แล้วรับผิดชอบว่ามันเกิดจากเรา
เราเดินเข้าไป หรือเราหยุดอยู่กับที่ในขณะที่บางอย่างเคลื่อนเข้ามา
นั้นก็คือการอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ปฏิเสธว่าจะไม่รับนะครับ
ทุกๆคนเริ่มต้นที่ตนเองก่อนแล้วแบ่งปันครับ
การแบ่งปันจะยังให้เกิดสันติภาพครับ
ประการที่สี่ พัฒนาการศึกษา ไม่ใช่ยัดงบ แดกงบ อมงบ เขียนรายงาน
จบ! ไม่ใช่! ต้องเปิดพื้นที่ให้องค์กรอิสระครับ นศงให้คิดมากขึ้น
ผิดไม่เป็นไร ให้เรียนรู้ครับอย่ายึดติดว่าเรานะทำ
คิดมาดีแล้วรุ่นหลังๆต้องทำตาม ไม่! นะครับ
อันนี้ก็ตัดสินและตีกรอบให้สังคม คิดตาม คิดแคบ ผูกขาด อยู่เหมือนเดิม
ต้องปล่อยให้เรียนในระบบธรรมชาติคือจำเป็นและใช่ได้จริง นักวิชาการคิด
หลักสูตรเขาไม่ได้เอาหลักสูตรตอนที่ว่าเมื่อเขาเกิดการเรียนรู้เก็บประสบการณ์ไอเดียจากการนั่งทำธุระส่วนตัวมาใส่ในหลักสูตรนิ
ก็คิด เอามาจากตำรา คนเขียนตำราก็อ่านจากตำรา
สุดทางมันคิดจากไหนเคยตั้งคำถามหรือไม่? ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ก็มี
ชุมชนสมัยโบราณก็ไม่เห็นจะต้องมีหลักสูตรจากนักวิชาการก็ทุกคนก็สามารถอยู่ได้นิ?
สรุปว่าเริ่มที่ตนเอง พลิกมุมมองการตัดสินพิพากษา
พาตัวเรีนนรู้อยู่กับทุกสิ่งในชีวิตที่เกิดขึ้น
ปล่อยวางความคัดแย้งในสังคมที่เราๆสื่อๆก็ตัดสิน
ตีความแหละเดี๋ยวพอสื่อไม่นำเสนอว่าสังคมคัดแย้ง จัดเวทีนั้น นี้ โน่น
เดี๋ยวก็จบไปเองครับ สมัยก่อนสื่อช้า การระดมคน มอบจึงช้าลำบาก
เดี๋ยวนี้เฟดแป๊บเดียว ทั่ว ใช่ให้เป็นครับ