หมออนามัย โรคที่มากับฝน
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
นายอานนท์ ภาคมาลี นักวิชาการสาธารณสุข ชำนาญการ
โรคที่มากับฝน
การดูแลสุขภาพปีนี้ฝนมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัวจากพายุดีเปรสชั่นต่างๆ
ต่อไปก็จะเข้าสู่ฤดูฝน ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่สดใหม่และมีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด
รวมถึงได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
จะมีสุขภาพดีพอที่จะรับมือกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องประสบกับโรคที่มากับฝน
ทุกวัยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพื่อพร้อมสำหรับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย
ๆ โดยหลีกเลี่ยงที่จะโดนละอองฝนและลมที่พัดแรง
ซึ่งอาจมีเชื้อโรคบางชนิด ฝุ่นละอองปะปนมาด้วย
การทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ สวมเสื้อผ้าที่แห้ง สะอาด ไม่อับชื้น
หากเปียกฝนควรรีบล้างเท้าและสระผมให้สะอาดทุกครั้ง
ไม่ควรปล่อยให้ผมและร่างกายอับชื้น
โรคที่พบบ่อยในฤดูฝน ได้แก่ ตาอักเสบ ไข้หวัด
ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง ไข้เลือดออก โรคฉี่หนู
และเชื้อราบริเวณผิวหนัง
นอกจากนี้เด็กที่เป็นโรคหืดในช่วงฤดูฝนผู้ปกครองต้องเพิ่มความระมัดระวังและดูแลเป็นพิเศษ
เพราะอาการหอบหืดจะกำเริบได้บ่อย ควรมีการตระเตรียมยาไว้ด้วย
ตาอักเสบในช่วงฤดูฝนตาอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ
เช่น การติดเชื้อจากการใช้มือ กระดาษ ผ้าที่ไม่สะอาด เช็ดหรือขยี้ตา
จากฝุ่น ละออง เกสรหญ้าดอกไม้ ผู้ใช้เลนส์สัมผัส เป็นต้น
อาการและอาการแสดงมีตาแดง ระคายเคืองตา คัน น้ำตาไหล มีขี้ตา
อาจพบมีอาการปวดตาและเปลือกตาบวมได้ คำแนะนำ
ให้ผู้ที่ใช้เลนส์สัมผัสต้องถอดเลนส์ออกทันทีถ้ามีตาอักเสบ
ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการอยู่
ใกล้ชิดผู้ป่วยโรคตาอักเสบ ล้างมือให้สะอาดทันทีที่สัมผัสผู้ป่วย
ตาอักเสบ และดูแลล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ผู้ที่เป็นโรคตาอักเสบ
ไม่ควรลงสระว่ายน้ำ และในช่วงที่มีการระบาดของโรคตาอักเสบ
ไม่ลงเล่นน้ำในสระ และหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนจำนวนมาก
หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นละออง เกสรหญ้า
ในช่วงที่มีแสงแดดจัดควรสวมแว่นตากันแดดด้วย การรักษา
ไม่แนะนำให้ซื้อยารักษาเอง
ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการแนะนำและรักษาที่ถูกต้อง
ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ สามารถติดต่อกันได้
โดยการหายใจเอาเชื้อโรคซึ่งฟุ้งกระจายอยู่ในเสมหะ น้ำมูก
น้ำลายของผู้ป่วยที่ไอหรือจามออกมา ในระยะห่างไม่เกิน 1 เมตร
ที่สำคัญเชื้อไวรัสอาจปนเปื้อนติดอยู่ที่มือ
ของผู้ป่วยอาจแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ โรคนี้จะแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง
ได้ในที่ที่มีคนอยู่ร่วมกันมาก ๆ อากาศไม่ถ่ายเท
อาการของไข้หวัดจะเริ่มด้วยการมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บหรือแสบคอ
สําหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่นั้นจะมีอาการรุนแรงกว่า คือ
มีไข้สูง ปวดศีรษะและเวียนศีรษะ ปวดตามกระดูกและกล้ามเนื้ออย่างมาก
และมักมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร
ระยะแรกของโรคจะไม่ค่อยมีอาการหวัดน้ำมูกไหลคัดจมูกไอ
คำแนะนำ พักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ให้มาก ๆ รับประทานอาหารมีประโยชน์
งดรับประทานของเย็นจัดสามารถ
รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอลและเช็ดตัวได้ โดยปกติโรคนี้
หายได้เองในเวลา 2-7 วัน แต่ถ้ามีอาการมาก เช่น ไข้สูงติดกันหลายวัน
ไอมาก อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อยมาก หรือมีอาการหายใจเร็ว
หายใจไม่สะดวก ควรไปพบแพทย์เพราะอาจเกิดโรคแทรกซ้อนเช่นปอดอักเสบได้
เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น ผู้ป่วยไม่ไอหรือจาม
ใส่ผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้มือ หรือกระดาษปิดปากและจมูก
และต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
การป้องกัน ควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกําลังกาย อย่างสม่ำเสมอ รักษาร่างกายให้อบอุ่นและไม่ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้น พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยโดยเฉพาะเวลาไอหรือจาม หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนแออัด เช่น ในที่ชุมนุมชน โรงมหรสพ บนรถโดยสารที่มีผู้โดยสารจํานวนมาก โดยเฉพาะในขณะที่มีการระบาดของไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือคลุกคลีกับผู้ป่วย รวมทั้งไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวรวมกับผู้ป่วย เช่น จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนปีละครั้ง
โรคปอดบวม หรือปอดอักเสบ อาจเป็นโรคแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อปอดบวมโดยตรง ติดต่อโดยการหายใจเอาเชื้อซึ่งฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เชื้อเหล่านี้อยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยที่ไอจามออกมา หรือติดต่อกันโดยใช้ภาชนะและสิ่งของร่วมกับผู้ป่วย มีระยะฟักตัวของโรค 1-3 วัน โรคนี้คุณหมอย้ำว่าเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจที่มีความรุนแรง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งในกลุ่มโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีโดยเฉพาะเด็กแรกเกิด โรคปอดบวมมักเกิดตามหลังโรคหวัด 2-3 วัน โดยจะมีไข้สูง ไอมาก หายใจหอบมักจะหายใจเร็ว ถ้าเป็นมากมักหายใจแรงจนชายโครงบุ่ม สําหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 เดือน ถ้าป่วยหนักมักจะซึมไม่ดื่มนม ไม่ดื่มน้ำ ถ้าไข้สูงอาจชัก บางรายหายใจเสียงดัง ปาก เล็บ มือ เท้าเขียว และกระสับกระส่าย บางรายอาจไม่ชัดเจน อาจไม่ไอ แต่มีอาการซึม ดื่มนมหรือน้ำน้อยลง ถ้ามีอาการเช่นนี้ ต้องรีบพาไปพบแพทย์ที่ โรงพยาบาล ถ้ารักษาช้าหรือได้รับยาไม่ถูกต้องอาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด ปอดแฟบ ฝีในปอดจำเป็นต้องใช้เวลารักษาในโรงพยาบาลนานและอาจรุนแรงจนเสียชีวิตได้ แนะนำว่าสามารถป้องกันได้เช่นเดียวกับไข้หวัดและ ไข้หวัดใหญ่ และปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคปอดบวมบางชนิดแล้ว
โรคอุจจาระร่วง หรือโรคท้องเดิน
ในช่วงฤดูฝนน้ำและอาหารอาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคที่มากับลมและฝนได้
โดยเฉพาะอาหารที่ไม่มีการปกคลุมดีพอ ภาชนะและมือที่
ใช้ปรุงอาหารมีการปนเปื้อน ผู้บริโภคใช้มือหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาด
ล้วนก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
เกิดอาการท้องเดินหรืออุจจาระร่วง ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง อุจจาระอาจพบมีมูกเลือดปน อาจมีไข้ ปวดท้อง
ท้องอืดร่วมด้วย ถ้ามีไข้สูง ถ่ายอุจจาระมีมูกชัดเจนหรือมีมูกเลือด
อาเจียนรุนแรง อาเจียนบ่อย ถ่ายบ่อยครั้ง
ร่างกายจะเสียน้ำและเกลือแร่จนเป็นอันตรายได้ ควรไปพบแพทย์
คำแนะนำ เมื่อเริ่มมีอาการให้รับประทานน้ำผสมเกลือแร่น้อย ๆ
บ่อย ๆ (มีจำหน่ายในท้องตลาด ชนิดน้ำสำเร็จรูปและชนิดผง
ซึ่งต้องผสมน้ำสะอาดเองและต้องผสมตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ ข้างซอง
ห้ามผสมโดยใช้น้ำน้อยกว่าที่กำหนดไว้เด็ดขาด) เด็กที่
รับนมมารดาให้นมได้ตามปกติ
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง
โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบระบาดในช่วงฤดูฝน
และพบบ่อยในเด็กอายุระหว่าง 2-10 ปี
ความรุนแรงของโรคพบได้ตั้งแต่มีอาการน้อยจนถึงรุนแรง
และอาจทำให้เลือดออกและมีอาการช็อก เสียชีวิตได้ ดังนั้น
ผู้ปกครองหรือพ่อแม่ต้องเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานของท่านให้ดี
คอยระวังไม่ให้ยุงกัดโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก
เกิดจากเชื้อไวรัส 2 ชนิด คือ เด็งกี่ กับชิกุนคุนยา
โดยมียุงลายเป็นพาหะนำเชื้อไข้เลือดออก
และส่วนใหญ่ออกหากินในเวลากลางวัน
ยุงลายชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่ง ๆ สะอาดที่อยู่ในตุ่ม น้ำ
กระป๋อง กะลา และหลุมที่มีน้ำขัง หรือจานรองขาตู้กับข้าว แจกัน
อ่างบัว โรคไข้เลือดออก ที่มีอาการรุนแรง
หรือช็อกจะเกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกี่โดยอาการของโรคไข้เลือดออกแบ่งได้เป็น3ระยะดังนี้
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง เด็กจะมีไข้ขึ้นทันที
ไข้สูงลอยตลอดเวลา (39-40 องศาเซลเซียส) หน้าแดง ตาแดง ปวดเมื่อย
ปวดศีรษะ กระหายน้ำ ซึม เบื่ออาหาร ปากแห้ง
และอาจปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา มีผื่นแดงขึ้น (ไม่คัน)
ในวันที่ 3 ของไข้ ตามแขนขา ลำตัว
ผื่นนี้อาจมีจุดเลือดออกเป็นจุดแดงเล็ก ๆ อาการไอพบได้น้อย ระยะที่ 1
ใช้เวลา 4-7 วัน
ถ้าโรคไม่รุนแรงไข้ก็จะค่อยๆลดลงและเด็กจะแจ่มใสขึ้น
ระยะที่2ระยะช็อกและมีเลือดออกพบในผู้ป่วยที่มีอาการมากบางราย
จะพบในช่วงไข้ลดประมาณวันที่ 3-7 ของโรค ไข้ที่สูงจะลดลงอย่างรวดเร็ว
พบอาการปวดท้องมากขึ้น กดเจ็บเล็กน้อยตรงใต้ชายโครงขวา ตัวเย็น ซึม
เหงื่อออกตามตัว ปัสสาวะน้อย ผู้ป่วยกระวนกระวาย และอาจมีจุดแดง ๆ
เหมือนมีเลือดออกตามผิวหนัง มีเลือดกำเดาไหล
อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระสีดำ ได้
และจะพบแรงดันเลือดลดลง ถ้ามีอาการมากอาจพบมีเลือดออกมาก
แรงดันเลือดลดลงมากจนเกิดภาวะช็อกได้
ระยะที่3ระยะพักฟื้น พ้นระยะที่
2 เด็กจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
เด็กจะเริ่มรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้และจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน2-3วัน
การป้องกันและการรักษา
แนะนำให้ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น ปิดฝาตุ่ม ใส่ทรายอเบท
ลงในน้ำป้องกันไม่ให้ยุงวางไข่ ที่หล่อขาตู้กับข้าว ทำลายกระป๋อง กะลา
หรือยางรถที่มีน้ำขัง อยู่
สำหรับเด็กที่นอนกลางวันควรนอนในมุ้งหรือมีมุ้งครอบเพื่อป้องกันยุงกัด
ในระยะไข้สูงควรเช็ดตัวลดไข้ ให้ดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ มาก ๆ
ห้ามไม่ให้ยาลดไข้แอสไพริน เพราะจะทำให้เลือดออกมากขึ้น
ควรให้พาราเซตามอลเท่านั้นในช่วง 1-2 วันแรก
ควรดูแลเรื่องอาหารเพราะควรให้อาหารอ่อนพวกข้าวต้ม นม น้ำหวาน
หรือน้ำผลไม้ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิด
ถ้าเด็กมีอาการมาก เช่น อาเจียนมาก ไม่ยอมรับประทาน ซึมมาก
ร้องปวดท้อง มีเลือดออก ควรรีบพาส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
โรคฉี่หนู เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
โดยเชื้อออกมาทางปัสสาวะ ของหนู แมว สุนัข
ที่ปนเปื้อนเมื่อเวลาฝนตกมีน้ำท่วมขัง
เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเราทางบาดแผลหรือรอยถลอกโดยเฉพาะบริเวณเท้าและขาขณะเดินลุยน้ำโดยไม่มีการป้องกันที่ดี
เชื้ออาจเข้าทางเยื่อบุตาหรือจมูกก็ได้
โรคนี้พบในเขตชนบทมากกว่าในเขตเมือง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น
ปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณน่อง ตาแดง ปวดท้อง มีอาการดีซ่าน อาเจียน
ถ่ายเหลว และมีผื่นคัน ร้อยละ 10
ของผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงโดยจะพบมีดีซ่าน ไตทำงานผิดปรกติ ปอดอักเสบ
การไหลเวียนโลหิตล้มเหลว และอาจรุนแรงจนเสียชีวิตได้
การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโดยไม่เดินย่ำน้ำเท้าเปล่า
ให้ใส่รองเท้าบู๊ต ไม่ลงเล่นน้ำในช่วงที่มีน้ำท่วม
มีการเก็บและกำจัดขยะอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนู
ถ้ามีอาการสงสัยเป็นโรคนี้ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว
โรคเชื้อราบริเวณเท้า
ในช่วงฤดูฝนการเดินย่ำน้ำให้เท้าเปียกชื้นบ่อย ๆ
เป็นบ่อเกิดการติดเชื้อราบริเวณเท้าได้ โดยเฉพาะบริเวณง่ามเท้า
โดยจะพบเกิดเป็นตุ่มใส มีผิวหนังลอก และจะมีอาการคัน
พบทั่วทั้งเท้าได้และอาจพบเป็นหย่อม ๆ ได้
และอาจลุกลามเกิดเชื้อราที่เล็บได้ มีเชื้อราหลาย
สายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของโรคนี้
ท่านที่สงสัยเป็นโรคนี้ต้องระวังไม่ให้เท้าเปียกชื้น
ให้เท้าแห้งอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังจากเดินย่ำน้ำต้อง
รีบล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้ง โรคนี้วินิจฉัยไม่ยาก รักษา
โดยใช้ยาฆ่าเชื้อราทาถ้าเป็นมากอาจต้องใช้ยารับประทานร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม
การรับมือกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทำได้โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ
ไม่ให้ร่างกายเปียกชื้นนานตามคำแนะนำที่กล่าวไว้ข้างต้น
ที่สำคัญไว้ว่านอกจากดูแลสุขภาพตัวเองแล้วควรดูแลใส่ใจสุขภาพของคนในครอบครัว
โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุซึ่งอาจจะมีภูมิต้านทานโรคน้อยกว่าคนในวัยทำงาน
ทั้งนี้ การป้องกันทำได้ง่ายและประหยัด
ค่าใช้จ่ายมากกว่าการรักษาเมื่อกลายเป็นโรคร้ายดังที่กล่าวมาทั้งหมด
ไม่มีความเห็น