เมื่อคุณครูสามารถค้นหาคำตอบมาตอบคำถามที่ว่า “วัดและประเมินผลทำไม” แล้ว คุณครูต้องตั้งคำถามต่อไปอีกว่า “วัดและประเมินอะไร” นั่นหมายถึงว่าคุณครูต้องค้นหาคำตอบให้ได้ว่า “จะประเมินอะไรของผู้เรียน” เพราะการจัดการเรียนรู้นั้น ในครั้งหนึ่ง ๆ ผู้เรียนจะเกิดผลการเรียนรู้ อาจจะหลายด้านแต่เราผู้สอนจะประเมินด้านไหนของผู้เรียน เช่น
1. ด้านสติปัญญาของผู้เรียนที่เกี่ยวกับความรู้ ความจำ ความคิด การแก้ปัญหาต่าง ๆ
2. ด้านอารมณ์และความรู้สึก เช่น ความสนใจ ทัศนคติ ค่านิยม คุณธรรม
3. ด้านทักษะกระบวนการและการปฏิบัติ เช่น การเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ของกล้ามเนื้อ วิธีการศึกษาเรียนรู้การนำทักษะการเรียนรู้ทักษะหนึ่งทักษะใดมาใช้ในการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าวิธีการเรียนรู้วิธีการเรียนรู้
เมื่อคุณครูได้คำตอบชัดเจนแล้วว่าจะวัดและประเมินผลอะไร คำถามที่ถามมาคือ จะวัดและประเมินผลอย่างไร นั่นคือ คุณครูต้องคำนึงถึง วิธีการ ว่าจะดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างไร คุณครูจะต้องคิดออกแบบเครื่องมือที่จะนำมาใช้วัดและประเมินผล คิดถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการ รวมถึงวิธีการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ขั้นสุดท้ายที่คุณครูจะต้องค้นหาคำตอบคือ จะต้องถามว่า “จะตัดสินด้วยวิธีใด” นี่เป็นหัวใจของการวัดและประเมินผล เพราะข้อสำคัญของการประเมินผลนั้น คุณครูจะต้องตั้งเกณฑ์ การวัดประเมินผลให้ชัดเจน พอที่ใครก็ตามมาตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน มาตีความหมายผลการวิเคราะห์สามารถนำผลการวิเคราะห์ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์กลุ่มหรือเกณฑ์ระดับความสามารถหรือระดับทักษะที่กำหนดไว้ได้อย่างเที่ยงตรง เชื่อถือได้
ในบทที่ 1 ผมได้นำ “ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้กับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้” มาให้ดู คุณครูอาจจะสงสัยว่า ผมดึงจุดประสงค์การเรียนรู้ (นำทาง) ที่ผมเขียนว่า สิ่งที่จุดประสงค์ต้องการ นั้นมาจากไหน ทำไม ผมขอตอบว่า ผมดึงมาจากการวิเคราะห์มาตรฐานช่วงชั้น สู่ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง แล้ววิเคราะห์ต่อออกมาเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ ตรงนี้ผมขอบอกว่า “เวลาวิเคราะห์มาตรฐานช่วงชั้นแต่ละรายข้อนั้น เราควรวิเคราะห์ออกมาให้เห็นภาพชัดเจนว่า มาตรฐานข้อนั้น ๆ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะด้าน
1. ความรู้ ความเข้าใจ ความจำ ความคิดและการแก้ปัญหาต่าง ๆ เรียกว่า ด้านสติปัญญา
2. คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความสนใจ ทัศนคติ ในด้านใดบ้าง มากน้อยเพียงใด เรียกว่า ด้านอารมณ์และความรู้สึก
3. ความสามารถในเรื่องอะไร มากน้อยเพียงใด วิธีการศึกษาเรียนรู้ การนำทักษะการเรียนรู้ ทักษะหนึ่งทักษะใดมาใช้แก้ปัญหาการเรียนรู้ เรียกว่า ด้านทักษะกระบวนการและการปฏิบัติ
เพราะข้อมูลทั้ง 3 ข้อนี้จะโยงใยสัมพันธ์ถึงการกำหนดรูปแบบการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ที่จะนำสอน และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยที่คุณครูควรคิดคำถามขึ้นมาถามเพื่อค้นหาคำตอบ เช่น
1. รัฐต้องการจะให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องอะไร (K)
2. รัฐต้องการจะให้ผู้เรียนปฏิบัติอย่างไรบ้าง (P)
3. รัฐต้องการจะให้ผู้เรียนเกิดนิสัยถาวรด้านใดบ้าง (A)
คำถามทั้ง 3 ข้อนี้ คุณครูนำไปค้นหาคำตอบจากมาตรฐานช่วงชั้น แล้วแยกออกให้ละเอียด แสดงไว้ในผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เมื่อคุณครูได้ภาพงาน (K,P,A ) ชัดเจนแล้ว จะช่วยให้คุณครูนำเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ได้ชัดเจนเช่นกัน
คำถามแต่ละคำถามที่ผมนำเสนอมาตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงตรงนี้ ผมเรียกว่า การตั้งคำถามซอยย่อย ซึ่งคำถามเล็ก ๆ อย่างนี้จะสามารถ ตอกย้ำ ให้คุณครูรู้ลู่ทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ชัดเจน เพราะคำตอบที่คุณครูสืบค้นมาได้นั้นคือทางที่จะนำคุณครูเดินไปสู่หลักชัยของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ถ้าคุณครูมีภาพจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณครูสามารถวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ชัดเจน ตรงเป้าหมายตามที่วางไว้ ในจุดประสงค์การเรียนรู้
สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ ถ้าคุณครูกรุณาเปิดอ่านทบทวนตั้งแต่บทที่ 1 ถึง บทที่ 2 อย่างพินิจพิจารณา จนเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วจะมองเห็นภาพงานการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วไม่ยากดั่งคิด
ถ้าหากว่าคุณครูมองให้ลึกลงไปอีก เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้สู่ครูผู้สอนและนักเรียนผู้เรียนอันเป็น วัฏฏะ ที่เวียนวนอยู่นั้น คุณครูผู้สอนสามารถตั้งคำถามเพิ่มเติมขึ้นมาอีกสัก 4-5 ข้อ เพื่อจะเป็นประเด็นของการสังเกตแบบเจาะลึก ศึกษากระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งคำตอบที่ได้มานั้นจะสามารถนำมาบันทึกหลังสอน ที่ได้สาระสมบูรณ์และมีประโยชน์ต่อผู้ศึกษาเรียนรู้มาก กระทั่งสามารถนำสู่การวิจัยในชั้นเรียนได้อย่างดี ตัวอย่างคำถามที่ว่านี้ คือ
1. เมื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนวางแผนการสำรวจและออกไปเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว นักเรียนจะมีวิธีการจัดการสำรวจระบบนิเวศน์ในชุมชนได้อย่างไร
2. ขณะที่นักเรียนคิดวางแผนการสำรวจและออกทำการสำรวจระบบนิเวศน์ในชุมชนนั้นจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างไร และมีผลต่อการเรียนรู้อย่างไร
3. การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันนั้น นักเรียนที่เรียนอยู่ในระดับกลุ่มการเรียน กลุ่มเก่ง – ปานกลาง – อ่อน จะมีความสุขต่อการเรียนรู้มาก-น้อยเพียงใด และจะมีพฤติกรรมอย่างใดในขณะเรียนรู้บ้าง
4. มีอะไรเป็นปัจจัยช่วยให้นักเรียนสามารถสำรวจระบบนิเวศน์ในชุมชนได้ตามต้องการ และมีความสุขต่อการเรียนรู้
5. การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทั้ง 3 กลุ่ม (เก่ง – กลาง – อ่อน) ได้เรียนรู้ร่วมกัน จะมีผลกระทบต่อการจัดการเรียนรู้ในด้านใด อย่างไรและทำไมจึงเกิดผลกระทบอย่างนั้นขึ้นมา
จะเห็นได้ว่า ถ้าคุณครูผู้สอนสามารถค้นหาคำตอบ ตอบประเด็นคำถาม ทั้ง 5 ข้อนี้ได้อย่างละเอียดแล้วนำบันทึกผลหลังสอนในรูปแบบ เชิงคุณภาพ ที่สามารถช่วยให้ใครมาอ่านก็จะเห็น และเข้าใจบรรยากาศและวิญญาณการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนนั้น หรือกล่าวง่ายๆว่า เห็นภาพในห้องเรียนอย่างชัดเจน เมื่อคุณครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้บ่อยครั้ง บันทึกผลหลังสอนทุกครั้ง เมื่อนำผลการบันทึกหลังสอนทั้งหมดมาประมวลเป็นองค์ความรู้แล้วจะมีคุณค่าเทียบเท่าตำราวิชาการสอนเล่มหนึ่งทีเดียว เพราะเรื่องราวเหล่านั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะคน เฉพาะชั้นเรียนหนึ่ง ๆ ของคุณครูคนนั้นหรือกลุ่มนั้นเท่านั้น จึงนับว่าเป็นศาสตร์เฉพาะ และถ้าหากว่ามีศาสตร์เฉพาะอย่างนี้มาก ๆ แล้วคุณครูร่วมกันสังเคราะห์ให้เป็นทฤษฎีและเขียนเป็นตำราการเรียนการสอนก็จะดีมาก
สำหรับการวิเคราะห์จุดประสงค์ทั้งจุดประสงค์ปลาย ทางและจุดประสงค์นำทางนั้น ถ้าคุณครูผู้สอนสามารถวิเคราะห์เจาะลึกได้มากเท่าไร จะช่วยให้สามารถวัดและประเมินผลได้ลึกซึ้ง ข้อมูลที่ปรากฏจะน่าเชื่อถือ มีความเที่ยงตรงมากขึ้น ถ้าคุณครูสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลที่เป็นสากล คือ
ความชัดเจนของสิ่งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เรียกว่า มีความเป็น ปรนัย
สำหรับความน่าเชื่อถือนั้น คือ พฤติกรรมของผู้เรียนคนนั้น ถ้าการจัดกิจกรรมการเรียนแบบนั้น ผู้เรียนจะมีพฤติกรรมอย่างนั้นเสมอ เพื่อนครูที่ร่วมสอนนักเรียนผู้นั้นก็ลงความเห็นตรงกัน นี่คือความน่าเชื่อถือ หรือความเชื่อมั่น
วิเคราะห์ความต้องการของจุดประสงค์ได้ละเอียดมากเท่าไร ก็จะสามารถสร้างเครื่องมือการวัดและประเมินผลได้ครอบคลุมมากเพียงนั้น
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น