เสขบุคคล...


เสขบุคคล...

 Large_pic121

พวกเราและท่านเป็น “เสขบุคคล” เป็นคนที่ต้องศึกษา และนำไปประพฤติปฏิบัติ บางทีมันก็อยาก จะปฏิบัติอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ทำอย่างไร

พระพุทธเจ้าท่านย้ำแล้วย้ำอีก บางคนบางท่านก็ยังจะหนีข้อวัตรข้อปฏิบัติ บางทีก็เจ็บป่วย เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมีธุระนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็หนีข้อวัตร ทิ้งข้อปฏิบัติ

ข้อวัตรปฏิบัติ ศีล สมาธิ จะเป็นเครื่องคัดกรองให้จิตใจของเราเข้าถึงธรรม…

เรามันชอบหนีข้อวัตร หนีข้อปฏิบัติ หนีการทำสมาธิ หนีการทำวัตรสวดมนต์ มันไม่สบายใจหรอก เพราะเราบริโภคข้าวบริโภคอาหารของชาวบ้านเขา เราใช้ปัจจัยสี่ของชาวบ้านเขา เราไปมองดูหน้าเพื่อนหน้าพระ หน้าเณร หน้าญาติโยมมันก็ไม่สนิทใจ

เราบริโภคปัจจัยสี่ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราก็ได้บุญได้กุศล ญาติโยมที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากเขาก็ได้บุญ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสสั่งพวกเราไม่ให้หนีข้อวัตรไม่ให้หนีข้อปฏิบัติ ให้เป็นคนหนักแน่น...

Large_pic123

ถึงใจมันไม่สงบก็ช่างหัวมัน ถ้าเราปฏิบัติตามจิตตามใจของเราเท่าไหร่เรายิ่งจะเป็นคนใจแตก เป็นพระใจแตก เป็นเณรใจแตก เป็นแม่ชีใจแตก เป็นญาติโยมใจแตก เป็นคนหัวใจสลาย

หลวงพ่อชาท่านถือวินัยละเอียด ท่านบังคับพระที่ยังไม่ถึง ๕ พรรษา เวลาไปไหนมาไหนถ้ามีเหตุ ที่จะไปก็ต้องมีครูบาอาจารย์พาไป เช่นไปทำธุระพ่อแม่ไม่สบายเป็นต้น

ท่านให้ถือนิสัยถือวินัย... ท่านรักษาพระ รักษาเณร เพื่อจะไม่ให้พระให้เณรเป็นผู้ใจแตก มันอยากไปเราก็ไม่ไป มันจะเที่ยวเราก็ไม่ไปเที่ยว เราต้องรักษาพระวินัยให้เคร่งครัด เพื่อจะได้เป็นพระที่ดี เป็นพระที่ได้มาตรฐาน

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราตามใจ ไม่ให้สิทธิพิเศษ เป็นพระ เป็นเณร หรือว่าเป็นชี เป็นโยมนักปฏิบัติต้องไม่ตามใจตนเอง

มีคนมากราบครูบาอาจารย์ มาขอพักมาขอปฏิบัติธรรมแล้วถามว่าพักได้กี่วัน...?

ครูบาอาจารย์ ท่านตอบว่าพักได้จนตายถ้าเราเป็นคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ความดีของทุก ๆ คน เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความผาสุข ความสงบร่มเย็น

Large_pic124

ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทุก ๆ คนก็อยากให้เราอยู่ด้วยจนถึงวันตาย แม้ตายไปแล้วทุก ๆ คนก็คิดถึง

 

ส่วนใหญ่พวกเราเองมันชอบสร้างปัญหาทำปัญหาให้กับตนเอง ไปอยู่ที่ไหนเขาก็ไม่รัก ไปอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่เคารพ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีที่อยู่ ก็เลยกลายเป็นพระพเนจร เป็นเณรพเนจร เป็นแม่ชีพเนจร เป็นญาติโยมพเนจร

ทุกท่านทุกคนต้องปรับตัวเอง แก้ไขตัวเอง อย่าไปให้คุณให้โทษคนอื่น อย่าไปให้คุณให้โทษ สิ่งภายนอก

คนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมในโลกนี้ไม่มีใครต้องการ...

ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าถ้าเราไม่มีศีลไม่มีธรรม เรานี้เป็นคนหนักแผ่นดิน ไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระอะไรเลย

Large_pic126

คนเรามันแก้ไขได้นะถ้ามันจะแก้... เราต้องแก้ ถ้าเราไม่แก้แล้วใครจะมาแก้ให้เรา เราไปทำตัว เป็นอาคันตุกะ จรไปจรมา มันฟุ้งไปแล้วก็ฟุ้งมา นึกว่าไม่ใช่ธุระของตน มันไม่ได้..! อันนี้มันธุระของเรา ธรรมวินัยเปลี่ยนแปลงเราได้ ทำไปทุกวัน ๆ เดี๋ยวมันก็เป็นเอง

ความเคยชินก็เป็นนิสัยเป็นปัจจัยของทุกท่านทุกคน... ปฏิบัติธรรมนิด ๆ หน่อย ๆ เราก็อยาก ให้คนอื่นเค้ายอมรับตัวเอง “ตัวเองยังยอมรับตัวเองไม่ได้เลย แล้วใครจะมายอมรับเรา…”

คนเรามันดีแต่พูด ดีแต่คุย ดีแต่อวด ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็น ก็ว่าตัวเองรู้ ว่าเห็น ว่าเป็น จะให้คนอื่นยอมรับ เป็นได้ก็เพียงแต่การแต่งตั้ง พระอรหันต์แต่งตั้งเดี๋ยวนี้มันมีเยอะ เห็นหน้าใครก็อยากอวดอยากคุย เรื่องนี้มันก็เป็นความเสียหาย เราไม่ประพฤติปฏิบัติแล้วก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น มันเลยกลายเป็น “พระอรหันต์แต่งตั้ง...”

ครูบาอาจารย์ท่านถึงให้เราระมัดระวังกันทุก ๆ คน มันจะเป็นธรรมเมา มันไม่ใช่ธรรมะ มันเมาไปหมด

บวชไม่กี่วัน บวชไม่กี่พรรษา ก็อยากเทศน์อยากสอน เห็นชีเห็นญาติโยมก็อยากพูดอยากคุย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้มันไม่จริง...”


ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่จะมีใครมาแต่งตั้งให้ได้…

Large_pic129

ตัวเองต้องปฏิบัติตัวเอง ตัวเองปฏิบัติเองตัวเองก็ได้บรรลุเอง ความหลงมันทำให้เราแสดงออก อย่างโง่ ๆ

พระพุทธเจ้าท่านห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม สิ่งที่ไม่มีตัวในตน ไม่ว่าเราจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี เป็นญาติโยม เราจะไปอวดไปคุยมันไม่ได้ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อริยทรัพย์มันก็จะเกิดขึ้นที่จิตที่ใจ ของเรา เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเขาก็จะเคารพสักการะกราบไหว้ไปเอง

พระธรรมวินัยมันเป็นธนาคารใหญ่ มันเป็นธนาคารแห่งศีลแห่งธรรม เราปรารถนาสิ่งใดเราก็ได้หมด พระเรานะมันโลภมากเกิน การประพฤติปฏิบัติน้อยมันถึงเป็นหนี้เป็นสินนะ..!

ถ้าเราปฏิบัติเหลือกินเหลือใช้ เราก็แบ่งปันให้คนอื่นได้ เมื่อเราเป็นพระจน เป็นเณรยากจน เป็นแม่ชียากจน เราจะเอาบุญเอากุศลที่ไหนไปให้ผู้ที่ถวายปัจจัยสี่ ด้วยเหตุนี้เองเราถึงต้องขยันทำข้อวัตรปฏิบัติ

ทุก ๆ คนมันขี้เกียจขี้คร้านกันทั้งนั้นอย่าไปสนใจ มีข้อวัตรปฏิบัติให้เราศึกษาให้เราปฏิบัติ เพื่อให้เราสอบผ่าน เพื่อที่เราจะได้เลื่อนขั้นตัวเอง เราจะไม่ได้เป็นคนหนีข้อวัตรหนีข้อปฏิบัติอีกต่อไป

 

ถ้าใครรู้ว่าตัวเองเป็นพระที่ไม่ได้มาตรฐาน เณรไม่ได้มาตรฐาน โยมไม่ได้มาตรฐาน เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติตัวเองให้มันได้มาตรฐานของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้วางหลักเกณฑ์ไว้

ที่ไม่ได้มาตรฐานก็มีน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ได้มาตรฐานอยู่ เราจะได้ไม่เป็นกาฝากของพระพุทธศาสนา กาฝากท่านหมายถึงต้นไม้ที่มันเกิดอยู่กับต้นไม้ต้นอื่น แล้วมันก็ดูดกินน้ำเลี้ยง ถ้ามีกาฝากมาก ๆ ต้นไม้ต้นนี้มันก็ตาย

บุคคลในวัดวาของเราไม่ใช่บุคคลที่เป็นกาฝาก ถ้ามันจะเป็นกาฝากเป็นเพราะอะไร..? มันเป็นเพราะ เราเองไม่ใช่ตั้งใจรักษาศีล ไม่ตั้งใจทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ ไม่ตั้งใจเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา

ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้อยู่แล้วว่าคนไม่ครบอาการ ๓๒ บวชไม่ได้ นี่แหละที่ดู ๆ แล้วทุกท่านทุกคนก็มีอาการครบ ๓๒ หมด ด้วยเหตุนี้วัดเราถึงไม่มีกาฝากของสังคม

คนเขามีความรู้ เขามีความศรัทธา วันเสาร์วันอาทิตย์หรือมีโอกาสต่าง ๆ เขาก็พากันมาปฏิบัติ แต่ถ้ามาเจอพวกกาฝากของวัดเขาก็ส่ายหัวเอาเหมือนกัน
ผีในใจของใครที่มันเป็นกาฝาก ถ้ามันเข้าสิงใครวันนี้ก็ให้ออกไปให้หมด ที่นี่ไม่ต้อนรับ ที่นี่ไม่ยินดี

“ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

เราไม่ต้องคิดว่าอยู่ได้กี่วัน เพราะครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าอยู่ได้จนตายถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ถ้าปฏิบัติไม่ดีต้องให้รีบไป ท่านไม่ให้อยู่หลายวัน

คติธรรมข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปัญหาต่าง ๆ ของเราและท่านที่เป็นอาคันตุกะ เป็นผู้พเนจร จะได้หมดไป

เราทำโรงครัว เราทำอาหาร ก็ให้เรามีความสุขในการทำอาหาร ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพราะนั่นคือการปฏิบัติ

ถ้าใครไม่มาทำอาหาร ไม่มาทำงานที่โรงครัว ก็ให้นั่งสมาธิเดินจงกรม ภาวนามันทั้งวัน

เราอย่าทำตนเป็นกาฝาก ทำงานก็ไม่ได้ทำ เดินจงกรมนั่งสมาธิก็ไม่ทำ แถมมาทำวัตรสวดมนต์ก็มาช้าบางทีก็ไม่มา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่นักปฏิบัติ มันกลายเป็นนักวิบัติ มันเป็นอับปรีย์จัญไร มันเป็นเสนียดจัญไร

เราต้องไล่มันออกไปจากจิตใจของเรา เพราะเราเอาไว้ในใจของเรามานาน ที่ครูบาอาจารย์บอกสอนเราอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกสอนเราอย่างนี้ ถือว่าเราเป็นผู้โชคดีเราจะได้แก้นิสัย แก้สันดานที่มันสั่งสมมา ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ นอนเนื่องอยู่ในสันดานนี้หนาตึ้บ

เรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนชอบออกนอกเส้นนอกทาง กระลิ้มกระเรี่ยเหมือนกับหมามันหิว...!

ถ้าเห็นคนรวย ๆ มา เห็นผู้ดีมีสตางค์ก็ทำเสียงต่ำเสียงสูง แสดงความผิดปกติ แต่เวลากับเพื่อน ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกัน พระที่อยู่ด้วยกัน เณรที่อยู่ด้วยกัน ชีที่อยู่ด้วยกันทำเป็นเฉย ๆ เหมือนกับไม่รู้จัก นักปฏิบัติที่หลงทางหลงประเด็นมันก็เป็นไปได้

ขอให้ทุกท่านทุกคนสงบกายวาจาใจ อย่าให้มีให้เป็นในสำนักวัดปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอน

พระพุทธเจ้าก็สอนครูบาอาจารย์ก็สอน อย่าไปกระลิ้มกระเรี่ย อย่าไปอยากได้ของเขา...

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราขอของจากคนไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณาไว้ ยกเว้นนอกจากเราเจ็บไข้ไม่สบาย อย่าไปพูดมากว่าครูบาอาจารย์ชอบอันโน้นอันนี้ พระชอบฉันอันโน้นอันนี้ พระทุกรูปถ้าใจมันเป็นพระ ท่านไม่ชอบโน่นชอบนี่หรอก ถ้าใครมีการกระทำอย่างนี้ มีพฤติกรรมอย่างนี้ ตั้งแต่บัดนี้ก็ให้พากันหยุด ที่ทำมาแล้วก็แล้วกันไป ครูบาอาจารย์ไม่ว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ว่า

นับแต่วันนี้เป็นต้นไปครูบาอาจารย์ได้บอกได้สอนแล้ว ให้ทุกท่านได้สำรวมได้ระวัง เพราะคนเรา บางทีมันเจตนาดีแต่มันก็พลาดกันได้เพราะความไม่รู้ เพราะครูบาอาจารย์ไม่ได้บอกไม่ได้สอน

พระเณรแล้วก็ลูกศิษย์พระที่มาอยู่วัดประจำ โยมอุบาสิกาที่อยู่วัดประจำที่มีจิตใจอ่อนแอ ปฏิปทา ไม่สม่ำเสมอ ปฏิบัติตามใจ ตามอารมณ์ วันไหนขยันก็ตั้งใจ วันไหนไม่ขยันก็ไม่ตั้งใจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “เราปฏิบัติอย่างนี้ยังไม่ถูกต้อง ยังใช้ไม่ได้...!”

ที่ผ่านมาเราก็เสียเวลา เสียโอกาสไปหลายปี บางครั้งขยัน บางครั้งไม่ขยัน ปฏิปทาไม่แข็งแรง ไม่ได้ไปข้างหน้า เดี๋ยวก็ไปข้างหน้า เดี๋ยวก็ไปข้างหลัง กลับไปกลับมา ถึงเวลาสมควรแล้วที่ทุกท่านทุกคนจะต้องแก้ไขตนเอง ถ้าเรายังทำอย่างนั้นมันก็ท้อแท้นะ

นักปฏิบัติของเรามันต้องก้าวไปข้างหน้า ถ้าเราทำดีวันนี้อย่างนี้มันก็คือฐานของวันพรุ่งนี้ที่เราจะก้าวไป

พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า วาระสุดท้ายของจิตเป็นวาระที่สำคัญ ถ้าเราคิดอย่างไหน ถ้าเรา ทำอย่างไร ในวันต่อไปเราก็จะได้เกิดเป็นสิ่งนั้น ถ้าเราคิดดีทำดีเราก็จะได้เกิดเป็นสิ่งที่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนต้นไม้ในวัดเราเมื่อก่อนมันก็ต้นนิดเดียว ผ่านไปผ่านไปวันนี้มันก็ใหญ่โต

อนาคตมันอยู่ไกล พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเราคิดไม่ดี เราทำไม่ดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ มันต้องแย่กว่าเก่า เราปฏิบัติอย่างเก่ามันก็เหมือนเก่า มันไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลง

ปฏิปทาเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ทุกท่านทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีที่ประเสริฐ เราดูพระพุทธเจ้าปฏิบัติท่านมีแต่ก้าวหน้า ตั้งแต่สมัยบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จนถึงตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า

พระอรหันต์ก็มีแต่ไปข้างหน้า ไม่หยุด ไม่ถอยหลัง หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ท่านเดินหน้าด้วยปฏิปทาที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว สวยงาม

เราไม่ต้องห่วงเรื่องอนาคต ถ้าเราทำดี ปฏิบัติดี ทุกอย่างมันจะสบายหมด

ครูบาอาจารย์ท่านก็สังเกตดูถ้าคนไหนมันอ่อนแอก็ชอบอ่อนแอ ถ้าคนไหนมีปัญหามันก็ชอบมีปัญหา เมื่อบุคคลนั้นมีปัญหาแสดงว่าบุคคลนั้นอินทรีย์บารมีอ่อน อินทรีย์ไม่แข็งแรง อินทรีย์ไม่แก่กล้า บุคคลนั้นต้องเปลี่ยน ต้องแก้ไขตนเอง

ปัญหาต่าง ๆ มันต้องแก้ที่ตัวเรา มันแก้ที่อื่นไม่ได้ เรื่องมรรคผลนิพพานมันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ มันเป็นเรื่องของตัวเอง ถึงจะยากจะลำบาก ทุกท่านทุกคนก็ต้องประพฤติปฏิบัติ

มันเป็นกรรมเป็นเวรเป็นวิบากกรรมที่เราปล่อยปะละเลยตัวเอง

เราอยู่อย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เราจะแก้ปัญหาได้ไหม...? มันแก้ไม่ได้หรอกถ้าเราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติได้ เมื่อพระอรหันต์ขีณาสพท่านปฏิบัติได้ เมื่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านปฏิบัติได้ เราก็ต้องปฏิบัติได้เพราะเราก็ทานข้าวเหมือนกัน

อารมณ์ของสวรรค์ ความสุขความสบาย ทางกิน ทางนอน ทางเนื้อหนัง ทุกท่านทุกคนต้องทิ้งหมด

นักปฏิบัติผู้มุ่งหวังมรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้มาเราเอาความสุขทางเรื่องกินเรื่องนอนเรื่องไร้สาระ มันเสียเวลาสำหรับนักปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่สิ่งสำคัญมันไม่ใช่เป้าหมาย ความต้องการ ของเราทุกคนเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อสิ้นอาสวะ

แต่เมื่อเราไม่ละไม่ตัดไม่ทิ้ง เราจะสิ้นกิเลสอาสวะได้อย่างไร เรามีแต่มาหวง มาห่วง มาอาวรณ์


พระพุทธเจ้าท่านเมตตาเรามาก ท่านสงสารเรามาก ท่านถึงให้เราปฏิบัติให้เต็มที่ ตัวเราเอง ไม่สงสารตัวเองบ้างหรืออย่างไร...?

ท่านรู้อยู่ว่าการรักษาศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีล ๒๒๗ ท่านรู้ว่ามันลำบาก การมาตัด มาละ มาวาง มันลำบาก แต่มันก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเราที่ต้องตัด ต้องละ ต้องวาง ถึงใจของเราไม่วาง กายของเรา ก็วางอยู่แล้ว ไม่อยากแก่มันก็แก่ ไม่อยากเจ็บมันก็เจ็บ ไม่อยากตายมันก็ตาย ไม่อยากพลัดพราก มันก็พลัดพราก กายมันวางไปทุกลมหายใจแต่ว่าใจมันไม่ยอมวาง ทุกข์ทางมันก็มากอยู่แล้ว แต่เรามาทุกข์ทางใจก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่

เรารักษาคนไข้ก็ต้องรักษาให้มันหายนะ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่าเป็นกาฝากสังคม เป็นกาฝาก ของพระศาสนา

เราต้องจัดการกับตัวเองให้มาทำข้อวัตรทำกิจวัตร ตื่นมาทำวัตรเช้าให้มันได้ ถ้าเราทำเรื่อย ๆ ทุกวันมันก็เคยชินไปเอง

ถ้าเราไม่ไปคิดว่ามันทุกข์ยากลำบากมันก็ไม่ทุกข์ยากลำบาก เราอย่าพากันหนีข้อวัตรปฏิบัตินะ...

 Large_pic130

พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕

หมายเลขบันทึก: 486412เขียนเมื่อ 28 เมษายน 2012 20:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 05:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท