กรณีศึกษาที่ครูน่านำสอน
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองอีกวิธีหนึ่ง คือ การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Case Study) ซึ่งเป็นการศึกษาแบบเจาะลึก เฉพาะเรื่อง เฉพาะงาน ที่ผู้เรียนสามารถออกไปสังเกต ศึกษา สืบค้น สืบสอบ และสอบค้น ความรู้ที่มีอยู่ในชุมชน ในท้องถิ่นที่โรงเรียนตั้งอยู่
กรณีศึกษาเป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเดินเข้าสู่โลกกว้างของการเรียนรู้ที่แท้จริงในวิถีชีวิตและธรรมชาติ ผู้เรียนจะเดินออกจากห้องเรียนไปรับประสบการณ์ตรงจาก “นอกรั้วโรงเรียน” (Beyond the school Wall Experiences) ซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบการศึกษานอกสถานที่ (Outdoor Education) การเรียนรู้แบบนี้ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง สามารถสัมผัสเรียนรู้จากเรื่องราวที่เป็นจริง จากของจริงที่สัมผัสได้และเรียนรู้จากชีวิตแห่งความเป็นจริง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถดำเนินการปฏิบัติกิจกรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ (Activity Based Instruction) ซึ่งผู้เรียนสามารถดำเนินการเรียนรู้ โดยการศึกษาเรื่องราวเจาะลึกแบบโครงงาน (Project Work) หรือเรียนรู้แบบ Story line ได้อย่างดี ทั้งนี้ในการเรียนรู้ด้วยของชุมชน หรือท้องถิ่นนั้นๆ ส่งผลให้บทเรียนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน จึงทำให้บทเรียนบทนั้นไม่แปลกแยกออกจากชุมชน ผู้เรียนจะมีโอกาสดำเนินการเรียนรู้ได้ด้วยการเข้าไปสืบค้นหรือสอบค้น หาความรู้จากผู้รู้ในชุมชนที่เป็นผู้ปฏิบัติจริงหรือผ่านประสบการณ์นั้นๆ มาด้วยตนเองได้ ดังนั้นความรู้ที่ผู้เรียนสามารถสรรหามาได้นั้นจะได้ทั้ง
- วิธีการเรียนรู้หรือวิธีการค้นหาความรู้ของผู้ให้ความรู้
- องค์ความรู้ที่ผู้ให้ความรู้รู้
- ความรู้สึกหรือความเห็นต่อเรื่องที่รู้จากผู้ให้ความรู้
องค์ประกอบทั้ง 3 อย่างนี้คือ ความรู้แท้ของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่จะสามารถถ่ายทอดให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ สำหรับตัวผู้เรียนเองนั้น ก็จะเกิดองค์ความรู้ในตนเอง ในด้าน
- วิธีการเรียนรู้หรือวิธีการค้นคว้าหาความรู้
- องค์ความรู้ที่ศึกษาค้นคว้ามาได้ด้วยตนเอง
- ความรู้สึกหรือความคิดเห็นที่มีต่อการเรียนรู้
สิ่งที่ผู้เรียนได้มาจากการเรียนรู้ทั้ง 3 อย่างนี้ คือการศึกษาที่ยั่งยืน เป็นการเรียนรู้ที่สามารถฝังใจผู้เรียนอยู่ได้นาน เมื่อมีเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่ผู้เรียนใคร่รู้ ผู้เรียนจะสามารถนำวิธีการเรียนรู้นี้ไปศึกษาเรียนรู้เรื่องนั้นๆ ได้
การที่ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากชุมชน จากผู้รู้ในชุมชน จะส่งผลให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของชุมชน จะเกิดความตระหนักรักและเห็นความสำคัญของชุมชน เพราะเรื่องราวของชุมชนเป็นรอยประทับใจของผู้เรียน
กรณีศึกษาเป็นวิธีการเรียนรู้ที่สามารถบูรณาการสรรพวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันตามที่ผู้สอนสามารถนำมาจัดการดำเนินเรื่องราวให้สอดรับกับชีวิตแห่งความเป็นจริง ในสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชุมชน เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องราวใกล้ตัวผู้เรียน ที่ผู้เรียนควรจะเรียนรู้และสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ที่รัฐกำหนดไว้
วิธีการเรียนรู้แบบเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สืบค้น สืบสอบ และสอบค้นความรู้ด้วยตนเองนั้น ผู้เรียนจะต้องใช้ทักษะการตั้งคำถาม ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และการคิด รวมทั้งคุณธรรมจริยธรรมและมารยาทการเข้าสู่สังคม พูดได้ว่าการเรียนรู้แบบกรณีศึกษานี้ผู้เรียนสามารถฝึกทักษะการใช้ชีวิต ทักษะการเรียนรู้แบบการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ
กรณีศึกษา (Case Study) คืออะไร นี่คือเรื่องราวที่ควรจะต้องศึกษาเรียนรู้กันต่อไป มีนักวิชาการหลายคนได้กล่าวถึงกรณีศึกษาไว้ พอที่จะสรุปได้ว่า “กรณีศึกษาคือวิธีการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ผู้เรียนสามารถศึกษาเรียนรู้แบบเจาะลึกในประเด็นปัญหาเฉพาะเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือประเด็นหนึ่งประเด็นใด ที่ผู้ศึกษาสนใจใคร่รู้อย่างทะลุปรุโปร่ง ด้วยการใช้วิธีการ สืบค้น สืบสอบ และหรือสอบค้นหาคำตอบให้รู้เรื่องนั้นๆ อย่างแท้จริง”
ในการศึกษาแบบกรณีศึกษานั้น ผู้เรียนจะต้องตั้งประเด็นคำถามหรือประเด็นปัญหาที่ใคร่รู้ขึ้นมาแล้วพยายามสืบค้นถึงสาเหตุ ความเป็นมาของปัญหา นำมาทำความเข้าใจถึงเงื่อนไข ปัจจัยต่างๆ ที่มีสาเหตุอันก่อให้เกิดปัญหาที่แท้จริง จนส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อเรื่องนั้นๆ โดยที่ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการศึกษาอย่างเป็นระบบ แล้วนำข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่ผู้เรียนสืบค้นมาได้ มาทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุปเป็นความรู้ในเรื่องนั้นๆ
ที่กล่าวว่าโรงเรียนในเมืองหลวง สามารถจัดการเรียนการสอนแบบกรณีศึกษาได้นั้น ขอยกตัวอย่างโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครมากมาย ตั้งอยู่ในบริเวณวัดหรืออยู่ใกล้วัด ตั้งอยู่ใกล้สถานที่ที่ผู้คนเคารพนับถือ เช่น ศาลแม่นาคพระโขนง และตั้งอยู่ใกล้บริเวณโบราณสถานโบราณวัตถุ จุดเหล่านี้เป็นจุดที่ผู้เรียนจะต้องศึกษา เจาะลึก ถึงเรื่องราวเหล่านั้น อันมีเรื่องหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกันว่า
(แนวความคิดจากสาระสังคมศึกษาฯ กระทรวงศึกษาธิการ)
- สภาพความเป็นมาและความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมนั้นมีความเป็นมาอย่างไร มีความเป็นอยู่อย่างไร มีค่านิยม จริยธรรม และความเชื่ออย่างไร
ซึ่งเรื่องราวที่สืบค้นมาได้นี้ จัดอยู่ในกลุ่มหรือหมวดมานุษยวิทยา จิตวิทยา สังคมวิทยา ศาสนาและจริยธรรม
- สภาพสังคมความเป็นอยู่ที่ผู้คนในสังคมนั้นอาศัยเป็นอย่างไร
เรื่องราวที่ผู้เรียนสามารถสังเกต ศึกษา สืบสวนได้มานั้นจะจัดอยู่ในประเด็นของภูมิศาสตร์
- ผู้คนในสังคมนั้นดำเนินชีวิตกันอย่างไร
เรื่องราวนี้ผู้เรียนสามารถสืบ (ถามความรู้จากชุมชน) สอบ (หาข้อมูล ความจริงด้วยวิธีการสังเกตศึกษา ไต่ถามจากชุมชนแล้วมา) ค้น (คว้าจากเอกสารอ้างอิงต่างๆ สรุปเป็นข้อมูลความรู้ ประเด็นปัญหานี้จัดอยู่ในหมวดเศรษฐศาสตร์
- ชุมชนนี้มีการจัดระเบียบทางสังคมอย่างไร
ประเด็นคำถามนี้เป็นประเด็นทางด้านการเมืองการปกครอง ซึ่งผู้เรียนจะต้องใช้วิธีการสังเกต สอบค้น สืบค้นหา สภาพความเป็นจริงของพฤติกรรมทางสังคมในชุมชนนั้น อันเกี่ยวกับสภาพการจัดระเบียบทางสังคม
- สังคมนี้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากอดีตสู่ปัจจุบันอย่างไรบ้าง
ข้อมูลอย่างนี้ผู้เรียนจะแสวงหามาได้ด้วยวิธีการสืบ (หาความจริงจากชุมชนและ) ค้น (คว้าจากเอกสารต่างๆ ที่ปรากฏอยู่มาสรุปเป็นข้อมูลความรู้ของผู้เรียน เป็นความรู้ด้านประวัติศาสตร์
จะเห็นได้ว่า ประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนจะต้องค้นหาคำตอบนั้น ผู้เรียนจะต้องสืบค้นมาจากชุมชนนั้นๆ ตามกระบวนการเรียนรู้ที่เตรียมไว้ เมื่อได้คำตอบมาแล้ว ผู้เรียนจะต้องนำข้อมูลความรู้เหล่านั้นมา วิเคราะห์ สังเคราะห์ อภิปรายแล้วสรุปเป็นความรู้ก่อนที่ผู้เรียนจะออกไปสืบเสาะหาความรู้จากชุมชนด้วยวิธีกรณีศึกษาได้นั้น ผู้เรียนจะต้องเตรียมตัวก่อนเรียน คือ
1. ผู้เรียนจะต้องรู้ก่อนว่า การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา คืออะไร นั่นหมายถึงว่า ผู้เรียนจะต้องศึกษาความหมายและวิธีการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาให้เข้าใจก่อน
ตรงนี้ผู้สอนจะต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้เรียนก่อนว่า การเรียนแบบกรณีศึกษานั้นเป็นการเรียนที่ผู้เรียนจะต้องดึงความสามารถเฉพาะตนออกมาให้มากที่สุด จึงจะสามารถดึงความรู้จากชุมชนออกมาเป็นข้อมูลความรู้ของผู้เรียนได้
ข้อมูลความรู้ที่ผู้เรียนได้มานั้น ไม่มีผิด ไม่มีถูก แต่ผู้เรียนจะต้องใช้ดุลยพินิจพิจารณา วิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อมูลเหล่านั้นสรุปสรุปเป็นความรู้เฉพาะของผู้เรียน
การได้ข้อมูลจากชุมชนนั้นไม่ใช่ไปครั้งเดียวได้ข้อมูลมาอภิปรายสรุปเป็นความรู้ แต่ผู้เรียนจะต้องจัดการกับข้อมูลนั้นในรูปแบบ กระบวนการย้อนกลับ (Interactive) กล่าวคือ ผู้เรียนจะต้องย้อนกลับไปพิจารณาสืบหาข้อมูลเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ในระหว่างปฏิบัติการภาคสนาม เพื่อที่จะสืบค้นหาข้อมูลความจริงแบบเจาะลึกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งเป็นการศึกษากรณีศึกษาย้อนกลับเป็นวงกลม (Circular) ไม่ใช่ศึกษาแบบกระบวนการศึกษาทางเดียว (Linear)
การที่ผู้เรียนจะสามารถมองเห็นปัญหาได้ชัดเจน เก็บข้อมูลชุมชนได้ตรงประเด็น ผู้เรียนจะต้องสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ในชุมชน รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ภาพของปัญหามีความชัดเจนและเป็นองค์รวม
การที่จะทำให้ข้อมูลที่ได้มาจากชุมชนนั้นมีความน่าเชื่อถือ ผู้เรียนจะต้องแสวงหาข้อมูลจากหลากหลายแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ในชุมชน โดยเฉพาะข้อเท็จจริงจากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน รวมทั้งผู้เรียนจะต้องเข้าใจถึงวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย
สำหรับประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น จะได้มาจากการสำรวจชุมชนในเบื้องต้นและความสงสัยใคร่รู้ต่อ ในขณะที่สืบค้นข้อมูลในชุมชน สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถตั้งคำถามเจาะลึกถึงเรื่องที่ใคร่รู้ได้มากยิ่งขึ้น ประเด็นปัญหาเหล่านี้จะผิดแผกแตกต่างไปจากที่ผู้เรียนเคยเรียนรู้ในตำราเรียนหรือจากหนังสือ ส่งผลให้ผู้เรียนเข้าถึงวิธีการเรียนรู้แบบเรียนรู้เพื่อไปหาความรู้ เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้กับผู้เรียนเกี่ยวกับวิธีการหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่หลากหลาย ซึ่งเป็นความรู้ที่มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นในชุมชนหรือแหล่งเรียนรู้นั้นๆ แล้วมาเชื่อมโยงสู่เนื้อหาวิชาการหรือศาสตร์ต่างๆ อย่างบูรณาการ
เมื่อผู้เรียนเตรียมตัวเตรียมใจ พร้อมที่จะเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนแบบกรณีศึกษาแล้ว ผู้เรียนสามารถดำเนินการขั้นที่สองต่อไป คือ
2. เลือกปัญหาที่จะศึกษา การเลือกประเด็นปัญหาที่จะศึกษานี้ ถ้าผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนออกไปสำรวจศึกษาชุมชนก่อน ผู้เรียนมีโอกาสศึกษาพบปะกับผู้นำชุมชน ตัวแทนชาวบ้าน หรือชาวบ้านในแหล่งเรียนรู้นั้น การสอบถามพูดคุยกับบุคคลเหล่านี้ อาจจะเป็นที่มาของประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจใคร่รู้ โดยที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาลงลึกไปว่า
- ประเด็นปัญหานี้คืออะไร
- อะไรคือเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหานี้ขึ้นมา
- ผู้เรียนมีความคิดรวบยอดในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ความคิดรวบยอดของผู้เรียนที่มีต่อเรื่องที่จะเรียนรู้นั้นมีความสำคัญมาก เพราะผู้เรียนจะสามารถนำความคิดรวบยอดนั้นไปตอบประเด็นคำถามที่กำหนดไว้ทั้ง 3 ข้อได้ แต่ผู้เรียนไม่มีฐานความรู้ในเรื่องนี้ก่อนแล้ว ผู้เรียนจะมองภาพงานได้ไม่ตลอด นั่นหมายถึงว่า ผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญ (ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ผู้สอนเชิญมาเป็นวิทยากร) จะต้องช่วยกันเติมเต็ม ให้ผู้เรียนหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นความหาความรู้เพิ่มเติมจากตำราวิชาการ และผู้สอนอาจจะเตรียมการล่วงหน้าโดยการจัดรวบรวม เรียบเรียงเอกสารประกอบการเรียนการสอนขึ้นมาให้ผู้เรียนนำไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ความรู้ที่ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้จากการทำกรณีศึกษานั้น จะประกอบด้วยความรู้ในสาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์เป็นหลัก
การเลือกประเด็นปัญหาเพื่อศึกษาเรียนรู้นี้ แรกเริ่มเรียนรู้เป็นเบื้องต้นนั้น ถ้าผู้เรียนเลือกปัญหาที่ตนรู้และเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นมาบ้างแล้ว จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถตั้งประเด็นคำถามได้ลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องที่ผู้เรียนเลือกเรียนด้วยความอยากเรียนนั้น เป็นเรื่องที่อาจจะเป็นเรื่องที่ผู้เรียนคุ้นชินมาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่ายังรู้เรื่องอย่างไม่ลึก ไม่กว้าง และไม่รอบ ผู้สอนจะต้องฝึกหัด ฝึกฝน ให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวที่อยู่รอบๆ ตัวผู้เรียนในเบื้องต้น ทั้งที่เป็นเรื่องราวที่เป็นสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ แล้วค่อยๆ สอนให้ผู้เรียนรู้เชื่อมโยงเรื่องราวและประสบการณ์นั้นให้ขยายออกไปสู่โลกกว้าง อีกทั้งบทเรียนเหล่านั้นควรจะจบลงตรงที่ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนที่ชุมชนร่วมกับผู้เรียนคิดพัฒนาชุมชน ในระหว่างที่ผู้เรียนกำลังเรียนรู้เรื่องนั้นๆ
ประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนเขียนขึ้นมา เพื่อจะศึกษาค้นหาคำตอบนั้น ผู้เรียนจะต้องรู้และเข้าใจลักษณะของปัญหานั้นว่า “แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร สาเหตุเกิดจากอะไร และมีแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร” ถ้าผู้เรียนเข้าใจต่อปัญหานี้แล้ว ผู้เรียนจะสามารถเขียนประเด็นปัญหาการเรียนรู้หรือเรียกง่ายๆ ว่า ปัญหาวิจัยได้ เช่น ปัญหาที่เกี่ยวกับตลาดสดใกล้โรงเรียน หรือ ตลาดสดในชุมชน ซึ่งส่งกลิ่นเหม็น สกปรก มีขยะทิ้งเกลื่อนกลาด ผู้เรียนเห็นว่า ทั้งกลิ่นเหม็นและความสกปรกของตลาดนั้น จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมชุมชน โรงเรียน และสุขภาพของผู้คนที่อยู่ใกล้ อีกทั้งมีผลต่อแมลงวัน แมลงสาบ หนูจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้พืชผัก ผลไม้ ปลาสด ปลาแห้ง ปลาเค็ม ที่นำมาวางจำหน่ายมีความน่าเป็นห่วงต่อการรับและแพร่เชื้อโรคได้
ความคิดรวบยอดที่ผู้เรียนมีต่อภาพของตลาดสดชุมชนดังกล่าวข้างต้นนั้น จะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถนำมาคิดวิเคราะห์ ประเด็นปัญหาที่ตนต้องการจะเรียนรู้ต่อยอดออกไปได้ เช่น
1) ประเด็นเกี่ยวกับเชื้อโรคที่อาจติดต่อจากสัตว์สู่สินค้า สู่คน เพราะผลจากความสกปรกของตลาด
2) ประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือร่วมใจของแม่ค้า พ่อค้า และคนในชุมชน ในการร่วมกันรักษาความสะอาดของตลาดสดชุมชน
3) ประเด็นการขยายพันธุ์ของแมลงวัน แมลงสาบ และหนู ที่เกิดจากสภาพตลาดสดชุมชนสกปรก
เมื่อผู้เรียนสามารถเลือกประเด็นปัญหาหรือปัญหาวิจัยมาเขียนได้แล้ว ก็จะสามารถตั้งคำถามย่อยหรือคำถามวิจัยขึ้นมา เพื่อจะนำมาสู่การสืบค้นข้อเท็จจริงต่อไปได้
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าไปสัมผัสกับชุมชนหรือแหล่งเรียนรู้ก่อนที่ผู้เรียนจะตั้งประเด็นปัญหานั้น จะช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสนึกตัดสินใจได้ว่า ตนสนใจจุดใด แล้วสิ่งนั้นจะกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดเรื่อง แล้วสามารถนำมาสร้างประเด็นปัญหาได้ดีมากยิ่งขึ้น กับความสามารถนำมาคิดวางแผนการเรียนรู้ในข้อต่อไปได้
3. วางแผนการเรียนรู้ ตรงนี้สำคัญมาก ผู้สอนจะต้องฝึกให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจ หรือสามารถคิดวิธีการวางแผนการเรียนรู้ก่อนที่จะทำการเรียนรู้ให้ได้ นั่นคือ ต้องฝึกฝนให้เป็นนิสัย หัวใจของกรณีศึกษาอยู่ตรงที่วางแผนการทำงาน (การเรียนรู้) และทำงานตามแผนที่วางไว้ได้ ขั้นตอนของการวางแผนการเรียนรู้นั้นมี
3.1) ในการวางแผนการเรียนรู้นั้น ผู้เรียนจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์การศึกษาก่อน การที่ผู้เรียนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดคำนำมาสร้างวัตถุประสงค์การศึกษาได้นั้น ผู้สอนควรใช้ภาษาง่ายๆ ที่ผู้เรียนเข้าในได้ทันที ด้วยคำถามให้ผู้เรียนถามตนเองว่า “เราเรียนเรื่องนี้ทำไม” เมื่อผู้เรียนได้คำตอบมาแล้ว ผู้สอนหรือผู้เรียนนำมาเขียนบนกระดานดำช่วยกันเลือกที่ตรงใจทุกคน แล้วมากลั่นกรองภาษาให้เป็นวัตถุประสงค์ (ของการ) เรียนรู้ บันทึกไว้ นี่เป็นการแรกเริ่ม เมื่อผู้เรียนรู้วิธีการแล้ว กรณีศึกษาเรื่องต่อๆ ไปก็จะทำได้ด้วยตัวของผู้เรียนเอง
3.2) กำหนดขอบข่ายข้อมูลการเรียนรู้ ตรงนี้สำคัญมาก เพราะถ้าผู้เรียนสามารถกำหนดขอบข่ายของเรื่องที่จะเรียนรู้ได้ตรงประเด็นชัดเจน ก็จะสามารถศึกษาเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ถ้าไม่กำหนดขอบข่ายการเรียนรู้จะทำให้เรียนได้ไม่ครอบคลุมเรื่องที่ต้องการเรียน และยิ่งเรียนยิ่งเรื่องมาก และมากเรื่อง จะไม่ตรงประเด็นที่วางไว้ได้
การกำหนดขอบข่ายการศึกษานี้ ถ้าเหลือบไปดูคำถามวิจัยหรือคำถามย่อยที่ตั้งไว้ในตอนต้น ตอนเลือกปัญหาจะศึกษานั้น จะช่วยให้การกำหนดขอบข่ายข้อมูลที่จะศึกษาเรียนรู้มีความสอดคล้องกับตัวปัญหาและวัตถุประสงค์ได้มากยิ่งขึ้น
ผู้เรียนจะต้องรำลึกไว้เสมอว่า การเรียนรู้กรณีศึกษานั้น ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจต่อปัญหาเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และเรื่องราวรายละเอียดของเรื่องที่จะเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลมาอธิบายถึงสภาพของปัญหา สาเหตุของปัญหาว่าเป็นอย่างไร และ ทำไมจึงเกิดเร่องนั้นขึ้นมา
ตรงนี้ผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเชิงวิเคราะห์หาข้อมูลที่หลากหลายที่ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา โดยการใช้คำถามถามตนเองว่า “ทำไมจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาและเกิดขึ้นอย่างไร” ภาพของปัญหาที่ได้มาจะช่วยให้ผู้เรียนนำมากำหนดขอบข่ายของข้อมูลได้ง่ายขึ้น พูดง่ายๆ ว่า ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่า “กรณีศึกษาเรื่องนี้จะศึกษาเรียนรู้เรื่องใดบ้าง”
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น