กรณีศึกษาที่ครูน่านำสอน 1 โดย ชาตรี สำราญ


ทฤษฎีต่างๆ ในการทำงานเกิดขึ้นมาจากการที่คณะได้ทำงานนำมาสรุปเป็นบทเรียนเป็นทฤษฎีจึงเป็น “ทฤษฎีที่เกิดจากทฤษทำ” ไม่ใช่มาจากการท่องจำตำรา

บอกกล่าวเล่านำเรื่อง

               

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ถึง 2540 ผมมีโอกาสได้เข้าไปร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการสอน กรณีศึกษาป่าชุมชน กับเพื่อนครูที่อำเภอเวียงป่าเป้า  จังหวัดเชียงราย โดยมี  ผศ.ดร.สุวัฒนา  สุวรรณเขตนิคม  ดร.เบญจลักษณ์  น้ำฟ้า  และอาจารย์สมชัย แซ่เจีย  (ศน.  เวียงป่าเป้า ในขณะนั้น)  เป็นผู้นำในการจัดการเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่ผมพบเห็นคือไม่มีหนังสือตำราวิชาการมานั่งกางอ่านเพื่อนำแบบไปสอน ไม่มีทฤษฎีที่มาคอยขีดกั้นให้เราเดินไปตามทางที่กำหนด ไม่มีคนมาคอยจับผิดแต่มีการร่วมเรียนรู้กันระหว่างผู้นำการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน  ผู้เรียน  และชุมชนที่เป็นผู้เรียนรู้ และผู้เชี่ยวชาญหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น บทเรียนที่เราพบเห็นจากการปฏิบัติงาน  คือ ข้อมูลความรู้ที่เราได้มาแล้วเราร่วมกันเสวนาสรุปเป็นองค์ความรู้นำไปปฏิบัติต่อ แล้วมาเสวนาซ้ำสรุปเป็นทฤษฎีของงานชิ้นนั้นๆ  ดังนั้น ทฤษฎีต่างๆ ในการทำงานเกิดขึ้นมาจากการที่คณะได้ทำงานนำมาสรุปเป็นบทเรียนเป็นทฤษฎีจึงเป็น“ทฤษฎีที่เกิดจากทฤษทำ” ไม่ใช่มาจากการท่องจำตำรา

               ผมประทับใจต่อกระบวนการเรียนรู้ที่เราจัดขึ้นมา ซึ่งจะขอนำมาเล่าสู่กันและกัน  ดังนี้

 

               การเตรียมการสอน  คณะครูผู้สอนจะเตรียมการสอน โดยการนั่งเสวนาถกและเถียงกันว่า  ทำอย่างนี้ ทำทำไม  ทำแล้วจะหวังผลใด ทำอย่างใดจึงน่าจะเกิดผลอย่างนี้ เมื่อตกลงกันได้  ก็กำหนดกิจกรรมนำสอน สิ่งที่ผมประทับใจมาก  คือ ทดลองสอนกันก่อน ก็ผู้ร่วมเสวนานั่นแหละผลัดกันเป็นครู  เป็นนักเรียน ดูว่ามันติดขัดตรงไหนปรับแก้ไขให้ดูราบรื่นขึ้น ตกลงได้ที่ก็ร่วมกันจัดทำแผนการเรียนรู้  แล้วนำไปสอน ตกกลางคืนนำผลที่สอนมาเสวนาหาจุดเด่นจุดด้อยกัน บางอย่างบางประเด็นเราสามารถเขียนสรุปเป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีสอนได้

               จุดเด่นของการสอนวันนี้  เรานำไปเติมเต็มในกิจกรรมพรุ่งนี้ จุดอ่อนของวันนี้เรานำไปปรับปรุงในกิจกรรมวันพรุ่งนี้ เราทำกันอย่างนี้ เราเตรียมการสอนกันอย่างนี้ ผลที่ได้รับคือ  นักเรียนเก่ง  ดี  มีความสุข

               ที่บอกว่า  เก่ง  เพราะเราพบว่าเด็กๆสามารถเรียนรู้จักตนเองควบคู่ไปกับเรียนรู้เนื้อหาสาระที่กำลังเรียนอยู่ ทั้งนี้เพราะบทเรียน  กิจกรรมการเรียน เราเตรียมสอนคนไม่ใช่สอนหนังสือ นักเรียนเรียนไปแต่ละวันจะต้องร่วมกันสรุปว่า

-         ได้เรียนรู้อะไรในเนื้อหาวิชา

-         ได้เรียนรู้อะไรที่เกี่ยวกับตนเองบ้าง

-         ได้เรียนรู้เรื่องราวเหล่านั้นด้วยวิธีการใด

-         มีความรู้สึกอย่างไรต่อการเรียนรู้ครั้งนี้

นี่คือบทสรุปที่ดีที่ครูผู้สอน ได้แทรกเข้าไปในการเรียนรู้  เรียกว่า กระตุ้นคุณธรรมจริยธรรม ให้ผู้เรียนเขย่าตัวเองให้ผุดพรายขึ้นมาในตัวตนของผู้เรียนเอง

               การถามถึงความรู้สึกและรู้ได้อย่างไร คือ การเขย่าสติสัมปชัญญะของผู้นั้นให้ตื่นขึ้นมาบ่อยๆถ้าเขารู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ ทรงสติที่สงบได้คือคนเก่ง

               ดี  ตรงที่ผู้เรียนรู้ตนเองว่า เป็นใคร  กำลังทำอะไร การรู้ตนเองของผู้เรียนส่งผลให้ผู้เรียนตั้งใจเรียน ตั้งใจร่วมกิจกรรมกับชุมชนจนชุมชนยอมรับและเข้ามาร่วมมือ ร่วมใจ  ร่วมเรียนรู้ และร่วมพัฒนากิจกรรมชุมชนอย่างต่อเนื่อง  นี่คือความดี

               มีสุข เมื่อผลการเรียนเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม เป็นที่ยอมรับของชุมชน  ของสังคม ทั้งภายในจังหวัดและประเทศ  ทุกคนพอใจก็เป็นสุข

               บทเรียนที่ครูยึดวิธีการค้นหาความรู้มากกว่าเนื้อหาความรู้นั้น ส่งผลให้ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติวิชา และธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรียน ส่งผลให้เรียนแบบไม่เครียด แต่สามารถไปเสริมในพฤติกรรมผู้เรียนให้เป็นคนดีได้  คือ

1. มีนิสัยรับผิดขอบต่องาน  เช่น รู้จักจัดการกับข้อมูลความรู้ที่ได้มาอย่างเป็นระบบ

2. มีความกล้าที่จะนำเสนอข้อมูลต่อชุมชน

3. รู้จักนำวิธีการเรียนรู้ที่เรียนอยู่ไปหาความรู้ในเรื่องอื่นๆได้

4. รู้จักตนเองว่าเป็นใคร  ทำอะไร ส่งผลให้สมาธิการเรียนไม่สั้น ทำงานตามหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาป่าชุมชน ที่อำเภอเวียงป่าเป้า  จังหวัดเชียงรายนั้น ผมเห็นว่ามีประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาก  และผมคิดต่อไปว่า ไม่จำเป็นต้องศึกษากรณีป่าชุมชน ศึกษาเรื่องอื่นๆ ก็ได้  เช่น  กรณีศึกษาชุมชนของเรา กรณีศึกษาตลาดชุมชน กรณีศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเรากับชุมชนใกล้เคียง ฯลฯ เพียงแต่ครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องตระหนักรู้ได้แน่ชัดว่า การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา  ไม่ใช่การเรียนรู้แบบโครงงาน (ProjectWork) แต่ทั้งสองแบบนี้มีความเนื่องกันอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง หมายความว่าอาศัยกันได้แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

การเรียนรู้แบบกรณีศึกษาเป็นการเรียนรู้ที่จะต้องเจาะลึกถึงเรื่องราวในอดีต เพื่อนำมารู้จักปัจจุบันและอาจฝันไปถุงอนาคตได้ ดังนั้นผู้สอนและผู้เรียนควรมีพื้นฐานด้านสังคมศึกษาและวิทยาศาสตร์กักตุนไว้ในตนให้มากพอสมควร เพราะความรู้ด้านนี้จะช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถนำมาวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างเข้าถึงแก่นความเป็นไปได้ของเรื่องราวนั้นๆ

โลกของการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา เป็นโลกที่ผู้สอนจะต้องนำผู้เรียนเดินย้อนรอยกลับสู่อดีต เพื่อค้นหาที่มาของสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน ทำให้มองเห็นสภาพปัญหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตรงนี้เองที่สามารถกล่าวได้ว่าศิลปะแห่งการย้อนรอยอดีตสู่ปัจจุบันด้วยกลวิธีการตั้งคำถาม มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ยิ่งนักและกล้ากล่าวได้ว่ามีความชำนาญในการตั้งคำถามสืบค้นคำตอบนั้น สามารถนำมาใช้ในการแกะรอยหรือเจาะเรื่องราวในวรรณกรรมและวรรณคดีต่างๆได้อย่างมีคุณค่าต่อการเรียนรู้

มีอยู่หลายครั้งที่คณะครูเดินทางไปดูการสอนของผมที่โรงเรียนคุรุชนพัฒนา บางคนถามผมว่า  ผมสอนแบบ Story lineใช่ไหม  ผมตอบว่า  ใช่  บางคนถามผมว่า ผมสอนแบบโครงงานใช่ไหม  ผมตอบว่า ใช่  บางคนถามว่า ผมสอนแบบใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism)  ใช่ไหม ผมตอบว่า  ใช่ และบางคนถามถึงทฤษฎีการเรียนแบบร่วมมือ  (Cooperativelearning)  ใช่ไหม  ผมก็ตอบว่าใช่อีก แม้จะถามว่าผมสอนแบบ Play & Learn  ใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่อีก  เพราะเมื่อผู้ถามรู้อะไร เราอธิบายต่อเติมให้เขาก็จะเข้าใจเรื่องนั้นได้กระจ่างยิ่งขึ้น ดีกว่าเรายัดเยียดสิ่งใหม่ให้เขาสับสน ทีนี้ถามว่ากรณีศึกษาใช้ทฤษฎีใด ตอบได้ว่าทุกทฤษฎีที่กล่าวถึงใช้ได้ทั้งนั้น ทุกรูปแบบการเรียนรู้ที่กล่าวถึงข้างต้น มีซ่อนอยู่ในกรณีศึกษาทั้งนั้น กรณีศึกษาเปรียบเหมือนแม่น้ำที่มีลำธารซ่อนอยู่ข้างใน และในทำนองเดียวกันนั้น  ในลำธารมีแม่น้ำซ่อนอยู่ ในขณะที่ผมนำวิธีการเรียนรู้แบบกรณีศึกษามาจัดให้ลูกศิษย์ของผมเรียนรู้ที่โรงเรียนคุรุชุมชนพัฒนานั้น ผมเองก็เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนขึ้นมาด้วย จากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กๆ พบว่า

บางครั้งเด็กๆจะต้องค้นหาคำตอบด้วยวิธีการสืบหาข้อมูลจากผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ได้คำตอบมาแล้วยังไม่จุใจ ก็ไปค้นหาเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้อื่นๆ อีก ผมจึงเรียกวิธีเรียนนี้ว่า  เรียนแบบสืบค้น

บางครั้งเด็กๆ แว่วๆ ว่าข้อมูลนั้นน่าจะมีอีกประเด็นหนึ่ง นักเรียนก็จะไปสืบหาความจริงจนรู้ที่มาแล้วจะไปสอบถามหาความรู้เพิ่มเติมจากผู้รู้ ผมเรียกว่า  เรียนแบบสืบสอบ

บางครั้งเด็กๆเที่ยวสอบถามหาข้อมูลจากผู้รู้จนรู้ที่มาแล้ว เขาก็จะเข้าไปในห้องสมุด  ค้นหาคำตอบ ผมเรียกว่า  เรียนแบบสอบค้น

คำเหล่านี้  ผมเรียนรู้จากการสังเกตวิธีการเรียนรู้ของเด็กๆลูกศิษย์ของผม  แล้วผมก็นำมาหาชื่อเขียนบันทึกไว้

อีกอย่างหนึ่งผมเห็นว่า การจัดการเรียนรู้แบบกรณีศึกษานี้ สามารถนำสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 สาระ มาหลอมรวมสอนด้วยการคลุกโขลกเข้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน จัดกิจกรรมเรียนรู้ให้ลื่นไหลไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง (ไม่ใช่ผูกเรื่องแบบ Story line) ใช้ความจริงของความเป็นจริงในเรื่องที่เรียนรู้เป็นสถานการณ์เรียนรู้ ผู้เรียนค้นหาความรู้จากความเป็นจริง  นำมาเสวนา หาข้อสรุปเป็นเรื่องราวการเรียนรู้ของตนเองได้

ผมได้นำวิธีการเรียนรู้แบบกรณีศึกษามาใช้สอนให้ผู้เรียน เรียนรู้  เรื่องราวในวรรณกรรมและวรรณคดี โดยที่ผู้เรียนตั้งคำถามเจาะลึกถึงเรื่องที่อยากรู้ในเรื่องนั้นๆแล้วนำมาเขียนถ่ายทอดสื่อสารให้ผู้อ่านรับทราบกันได้ รวมถึงสามารถเขียนบทกวีน้อย ถ่ายทอดความรู้สึกลึกๆ ของตน เผยแพร่ในรูปแบบบทเพลงจากกำปง (หมู่บ้าน)  มาแล้ว โดยนำกรณีศึกษานี้แหละไปฝึกไปสอนแบบสอดแทรกวิธีการเรียนเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้เรียน

เมื่อผมเห็นคุณค่าของกรณีศึกษา ผมจึงกล้าที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เหมือนกับที่ผมเคยเขียน Story line มาก่อนแล้ว

กรณีศึกษาที่ครูน่านำสอน ไม่ใช่หนังสือที่รวบรวมทฤษฎีการสอน หรือวิธีการสอนจากตำราต่างประเทศ แต่เป็นการเปิดเผยบันทึกการสอนของครูคนหนึ่งในสยามประเทศมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เรื่องราวเล่มนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากการปฏิบัติตัวจริง แล้วนำมาสรุปเป็นทฤษฎี ไม่ใช่นำทฤษฎีไปทดลองแล้วสรุปรับรองทฤษฎีว่าใช่ว่าจริง

และด้วยความรู้สึกลึกๆผมเห็นว่ามีคุณครูมากมายที่สามารถคิดวิธีสอนได้ด้วยตนเอง ผมอยากเห็นตำราการสอนของเพื่อนครูเหล่านั้นเกิดขึ้นในแผ่นดินสยามประเทศมากกว่านำตำราฝรั่งมาอบรมวิธีการสอนเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็หมดไป ดั่งที่ได้ดำเนินการมาแล้ว

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนี้แหละ หนังสือเล่มนี้จึงปรากฏขึ้นมา เพื่อเผยแพร่ความรู้คิดของผมและจารึกถึงคุณงามความดีของ ดร.เบญจลักษณ์  น้ำฟ้า  ดร.สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม  และศน.สมชัย  แซ่เจีย ผู้นำผมเข้าสู่โลกการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา ขอบคุณคุณครูเสาวนีย์  ไชยมงคล  คุณครูโสภา แซ่เจีย  คุณครูวันชัย  ปัญญาวิช  คุณครูวิฑูรย์ มาแก้ว  คุณครูวันเพ็ญ  มาแก้ว  คุณครูเกรียงไกร นันทาทอง  และคณะครูอำเภอเวียงป่าเป้า ผู้ร่วมเรียนรู้ด้วยกันกับผม ซึ่งผมถือเป็นตำราเรียนฉบับเคลื่อนที่ได้ของผม

อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...


หมายเลขบันทึก: 485428เขียนเมื่อ 18 เมษายน 2012 10:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม 2018 12:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

"ตำราการสอนของเพื่อนครูเหล่านั้นเกิดขึ้นในแผ่นดินสยามประเทศมากกว่านำตำราฝรั่งมาอบรมวิธีการสอนเพียงชั่วครั้งชั่วคราว " ส่วนมากแล้วการอบรมมักจะนำทฤษฎีของนักวิชาการมาเสนอให้เพื่อนครูนำไปปฏิบัติผลก็คือล้มเหลวตลอด ไม่มีใครนำประสบการณ์ตรงที่ครูคิดขึ้มมาเองนำไปใช้ได้ผล  แล้วนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้นำไปขยายผลซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมเป็นนาทีทองของเพื่อนครูจะได้ประโยชน์นำไปปฏิบัติจริง ที่มหาสารคามก็กำลังทำค่ะโดย ดร.ฤทธิไกร  ไชยงาม  ดิฉินก็มีโอกาสเข้าร่วมโครงการและจะพยายามทำให้เกิดผลมากที่สสุดค่ะ   

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท