การจัดการสอนแบบนำพาผู้เรียนให้ค้นหาจนพบว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่ได้เพราะอาศัยซึ่งกันและกัน” นั้น มีวิธีการสอนมากมายที่ครูค้นคิดขึ้นมาสอน ตัวอย่างที่ดูได้ เช่น โรงเรียนบ้านดง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ฝึกให้ผู้เรียนคิดตั้งคำถาม ถามหาคำตอบ โดยแรก ๆ ครูเป็นผู้ตั้งโจทย์ให้ผู้เรียนตั้งคำถามถามครู ถามจนกระทั่งพบคำตอบหรือพบทางที่ผู้เรียนจะไปค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง จนกระทั่งผู้เรียนเป็นผู้สร้างโจทย์ปัญหาขึ้นมาให้เพื่อน ๆ ตั้งคำถามถามจนพบคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาและกลุ่มสาระใดก็มักจะมีเจ้าของโจทย์ปัญหามาถามเพื่อน ๆ เป็นประจำ นี่คือผู้เรียนสามารถกำหนดเรื่องเรียนรู้เองได้ ผลที่ปรากฏ ปรากฏว่าสอนไป ๆ ผู้เรียนเริ่มมีวินัยในตนเอง เพราะผู้เรียนเริ่มรู้จักตนเอง ผู้เรียนมีความนอบน้อม มีจิตร่วมในการพัฒนาโรงเรียน รักสถาบันของตน และโรงเรียนนี้มีครูเหมือนไม่มี ไม่มีครูเหมือนมี เพราะเวลาเรียนในห้องเรียนจะได้ยินแต่เสียงผู้เรียนที่แสดงบทบาทเป็นครู ผู้เป็นเจ้าของปัญหาคอยตอบคำถามและเสียงผู้เรียนที่ถามเพื่อหาทางค้นหาคำตอบ หากว่าจะทำการใดที่เป็นกิจกรรมของห้องเรียนก็จะมีการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมกระทำ ร่วมประเมินผลและร่วมรับผิดชอบ เวลามีเรื่องเคืองขัดใจกัน ก็ไม่ต้องเดือดร้อนถึงครูเพราะจะมีกระบวนการซักถามจนได้ข้อสรุป เช่น
ขัดเคืองหรือโกรธกันเรื่องอะไร ทุกข์
มีสาเหตุใดที่ทำให้ต้องโกรธกัน สมุทัย
ใครได้รับผลกระทบ ชั้นเรียนมีผลกระทบ
อย่างไรบ้าง คิดบ้างไหมว่าเพื่อน ๆ จะรู้สึกอย่างไร
ถ้าเราไม่โกรธกันผลจะเป็นอย่างไร นิโรธ
เราจะทำอย่างไรจึงไม่โกรธกันต่อไป มรรค
คำถามเหล่านี้ผู้เรียนอาจจะไม่ทราบหรอกว่า เป็นคำถามให้พ้นทุกข์แบบอริยสัจ 4 เมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามปรกติได้แล้ว คณะกรรมการห้องเรียนจะนำบันทึกเหตุการณ์นั้นเสนอครูประจำชั้นเพื่อทราบและดำเนินการต่อไป บทเรียนบทต่อไปคือ ครูจะนำมาสนทนา เพื่อนำสู่คุณธรรมจริยธรรม ที่พึงมีในตัวผู้เรียนตลอดไป ตรงนี้จะเห็นความเป็นคุณลักษณะนิสัยรวมของนักเรียนโรงเรียนบ้านดง ตรงนี้จะเห็นภาพรวมของการเกิดผลจากการศึกษาเรียนรู้ที่ครูจัดให้แก่ผู้เรียน ภาพอย่างนี้แหละที่รัฐต้องการ ความคิดอย่างนี้แหละเป็นความรู้แบบความคิดรวบยอด แบบว่า “การกระทำของบุคคลย่อมส่งผลต่อผู้อื่นเสมอ”
อีกตัวอย่างหนึ่ง โรงเรียนศรีนครินทร์ อำเภอ นาทวี จังหวัดสงขลา วันหนึ่งครูตั้งโจทย์ปัญหาถามผู้เรียนว่า “ผีเสื้อหายไปไหน” ปัญหานี้สร้างความสนใจแก่ผู้เรียนมาก เด็ก ๆ คอยเที่ยวมองหาผีเสื้อในบริเวณโรงเรียนก็ไม่เห็น ออกไปที่วัดและสวนป่าซึ่งมีเขตติดต่อกับโรงเรียนก็ไม่มีผีเสื้อ กลับไปที่บ้านก็ไม่เห็นผีเสื้อ ใช้เวลาสังเกต 2-3 วันแล้วมาร่วมปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ได้ข้อสรุปว่า “ไปหาไข่ผีเสื้อตามแหล่งที่เคยพบเจอ” เมื่อไปดูก็ไม่พบ ถามชาวไร่ ชาวสวนได้คำตอบว่า ทุกแห่งทุกไร่ทุกสวนต่างใช้ยาฆ่าแมลง และอีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมู่บ้านและบริเวณโรงเรียนขาดดอกไม้ที่มีน้ำหวานยั่วแมลง ผีเสื้อ มีแต่ไม้ใบไม้ประดับที่มีน้ำหวานน้อยมาก เช่น เฟื่องฟ้า ข้อมูลเหล่านี้ผู้เรียนสืบหามาได้เป็นจำนวนมากพอสมควร และเมื่อเดินเข้าไปในป่าในดงกับผู้ปกครองก็ยังพบเห็นผีเสื้อและแมลง ผู้เรียนจึงมาร่วมกันสรุปจากข้อมูลที่ได้มาว่า
- ชาวสวน ชาวไร่ ใช้ย่าฆ่าแมลงส่งผลให้ไข่ผีเสื้อฝ่อหมด
- ขาดดอกไม้ที่มีน้ำหวานล่อผีเสื้อ
- ผีเสื้ออพยพไปหาดอกไม้ในป่าในดงเพราะมีน้ำหวานและไร้สารเคมี
ความคิดทั้งหมดนั้นเป็นความคิดที่เกิดจากผู้เรียนผจญกับปัญหาที่ครูตั้งโจทย์ให้คิด เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในท้องถิ่น เป็นปัญหาที่ผู้เรียนสืบค้นต่อไปพบว่า ผลไม้ลดปริมาณลงในช่วง 2-3 ปีนี้ ซึ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณี ผีเสื้อหายไปด้วย และผลที่เกิดจะเป็นตัวความรู้ที่ผู้เรียนได้รู้หรือรู้ได้ ซึ่งปรากฏในภาพรายงานที่ผู้เรียนนำเสนอ คือ
นักเรียนเข้าใจว่าน้ำหวานจากดอกไม้คือตัวยั่วผีเสื้อ
นักเรียนเข้าใจว่าเมื่อไม่มีน้ำหวานจากดอกไม้ก็ไม่มีผีเสื้อ
นักเรียนเข้าใจว่ายาฆ่าแมลงคือตัวทำลายไข่ผีเสื้อ
นักเรียนเข้าใจว่า ชาวสวน ชาวไร่ทำลายแมลงเท่ากับทำลาย
ตนเองด้วย
นักเรียนเข้าใจว่า ดอกไม้ในป่าไม่มียาพิษ แมลงจึงไปหา
นักเรียนเข้าใจว่า ถ้าโรงเรียนไม่มีดอกไม้ที่มีน้ำหวานมาก ๆ
ไม่มีผีเสื้อ
แล้วผู้เรียนก็ร่วมคิดงานเป็นการแก้ปัญหาเรื่องผีเสื้อหายไปไหนตามความเข้าใจของนักเรียนว่า
- การปลูกดอกไม้ที่มีน้ำหวานคือการเลี้ยงผีเสื้อ
- ถ้าชาวไร่ชาวสวนเลิกใช้สารเคมีฆ่าแมลง จะมีผีเสื้อ
- ถ้าไม่มีผีเสื้อไม่มีแมลง ผลไม้จะลดปริมาณลง
บทสรุปที่เป็นความรู้แบบความคิดรวบยอด ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือกระทำด้วยตนเอง ผลที่ได้คือสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ความรู้ที่รู้ได้ไม่มีในตำราที่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ พิมพ์ขาย แต่เป็นความรู้ที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นในขณะออกหาข้อมูลจากชุมชน ซึ่งจะเป็นความรู้ที่ฝังใจผู้เรียนไปนานแสนนาน เรียกว่า ความรู้คงทน ความรู้ฝังแน่น เป็นความรู้ที่ลืมได้ยาก ที่ลืมได้ยากเพราะกว่าจะได้รู้เรื่องนี้นั้น ผู้เรียนต้องลำบากกับเรื่องที่เรียน ต้องเดินหาข้อมูลตามสวน ตามไร่ ตามป่าเชิงเขา ต้องถามชาวไร่ ชาวสวนคนแล้วคนเล่า แล้วมานั่งสรุปกัน ต้องมาอธิบายให้ครูรับรู้ อธิบายให้ชาวสวนชาวไร่และผู้ปกครองฟังในวันนำเสนอผลงาน เพราะฉะนั้นความรู้ตัวนี้ผู้เรียนจะจำขึ้นใจและภูมิใจที่ทำได้สำเร็จ ที่ว่าทำได้สำเร็จคือเมื่อช่วยกันปลูกดอกไม้ชนิดที่ผีเสื้อชอบ(จากการคอยสังเกตนานวัน) ก็เริ่มเห็นผีเสื้อมีเพิ่มขึ้น ๆ ทุกวัน นี่คือบทเรียนที่เรียนแล้วประสบความสำเร็จ ส่วนที่ว่า เกิด นั้นต้องคอยดูต่อว่า ผู้เรียนเหล่านี้ รักษ์ผีเสื้อมากน้อยเพียงใด และพวกเขาจะทำอะไรต่อไปอีกกับเรื่องราวเหล่านั้น
สำหรับขั้นตอนในการดำเนินงานของผู้เรียนนั้น มี 4 ขั้นตอน คือ
1. เมื่อได้ปัญหาผู้เรียนร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไข สรุปว่า ต้องหาข้อมูล จึงแบ่งกลุ่มออกไปหาข้อมูลจากหลากหลายแหล่งเรียนรู้ เมื่อได้ข้อมูลมาร่วมกันพิจารณาคัดเลือกข้อมูลที่มีความเหมือนและความต่างกัน พิจารณาคัดเลือกข้อมูลที่สำคัญ เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังเรียนและมีความเป็นไปได้จริง เป็นข้อมูลสมจริง
2. จัดการกับข้อมูลสมจริง โดยการสร้างภาพแผนภูมิแสดงความโยงใยสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลหนึ่งสู่อีกข้อมูลหนึ่ง เพื่อให้เห็นสภาพเด่นชัดของปัญหา สาเหตุของปัญหานั้น แล้วแบ่งกลุ่มข้อมูล จัดเป็นปัญหาแท้ สรุปเป็นความคิดสั้น ๆ เช่น น้ำหวานจากดอกไม้เป็นตัวยั่วผีเสื้อ โรงเรียนขาดดอกไม้ที่มีน้ำหวานมาก ๆ จึงขาดผีเสื้อ
3. เมื่อได้ภาพความคิดเป็นความคิดสั้น ๆ แล้ว ก็ร่วมกันคิดว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้มีผีเสื้อในรั้วโรงเรียนของเรา” ผู้เรียนต่างร่วมกันพิจารณาความคิดที่เพื่อนๆ ร่วมกันเสนอ จนกระทั่งเห็นว่า พอแล้ว ก็ร่วมกันคิดพิจารณาค้นหาความเป็นไปได้ของแต่ละวิธีการ จนกระทั่งสรุปว่า “ปลูกดอกไม้ชนิดที่มีน้ำหวานมาก ๆ รอบรั้วโรงเรียนและที่เหมาะสม” คำว่า ที่เหมาะสม นั้นก็ต้องเขียนผังบริเวณโรงเรียนกำหนดจุดที่เหมาะสมไว้และกำหนดพันธุ์ไม้ดอกที่จะปลูก แบ่งงานกันเพื่อดำเนินการต่อ
4. เมื่อผู้เรียนทุกคนได้ร่วมกันปฏิบัติการวางแผนปฏิบัติงาน (ในข้อ 3 ) แล้ว ต่างคนต่างรู้หน้าที่ดี ก็ลงมือปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คอยเฝ้าสังเกตบันทึกผลที่ปรากฏว่าผีเสื้อมีไหม มีจำนวนเท่าไร นานเพียงใดจึงมีผีเสื้อ ผีเสื้อชอบบริเวณใดมาก ทำไม นำข้อมูลบันทึกไว้มาร่วมสรุปเป็นความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริง นำผลการเรียนรู้เสนอให้ชุมชนรับทราบเพื่อดำเนินกิจกรรมร่วมกับชุมชนต่อไป
จากตัวอย่างที่ยกมาตั้งแต่บทแรก เรื่อง ยุงน่าเรียนรู้ หรือ การสร้างวิญญาณประชาธิปไตย ของโรงเรียนบ้านดง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ หรือ การค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ของโรงเรียนศรีนครินทร์ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา นั้น เป็นวิธีการเรียนที่ครูสร้างเงื่อนไขให้ผู้เรียนออกไปผจญกับปัญหาต่าง ๆ ระหว่างเรียน ทุกขั้นตอนที่ผจญกับปัญหา พอแก้ปัญหาได้ครั้งหนึ่ง ตัวรู้ ก็จะผุดพลายขึ้นมาในใจของผู้เรียนครั้งหนึ่ง แน่นอนว่า ทุกคน รู้ ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างรู้ตามความรู้สึกของตน จิตของตนจะรู้ด้วยจิตของตน เรียกว่า ปัจจัตตัง ความรู้อย่างนี้แหละที่ต้องการ เพราะผู้เรียนที่เรียนอ่อนอ่านไม่ได้ เขียนไม่เป็นก็รู้ เพราะรู้ได้ด้วยจิต ไม่ใช่รู้ได้ด้วยการท่องจำ จิตที่ผัสสะกับสภาวการณ์ต่าง ๆ จะรับรู้สิ่งนั้นมาสั่งสมไว้ทีละนิด ๆ จนถึงเวลาก็จะโพลงออกมาจาก บึ้งลึกของจิตว่า อ๋อรู้แล้ว ๆ ตัวรู้แล้ว ๆ นี่แหละที่แต่ละคนต่างกัน แต่เมื่อทุกคนนำตัวรู้แล้วมาเล่าสู่กันฟัง มาร่วมอภิปราย ร่วมสรุปก็จะเป็นองค์ความรู้รวม เป็นความรู้ของกลุ่มในแบบเดียวกันนั้น แต่ละคนก็จะรู้เพิ่มขึ้นจากที่ อ๋อรู้แล้ว ในตอนแรก ความรู้ครั้งหลังนี้จะเป็นความรู้ใหม่ที่แต่ละคนรู้ และเมื่อเขานำไปคิดต่อ ไปพิจารณาต่อ ไปศึกษาดูผีเสื้อต่อ เขาก็จะรู้มากขึ้น ๆ จะสามารถเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ชัดเจน เล่าบ่อย ๆ ก็จะคล่องขึ้น จะมีลูกเล่นมากขึ้น มีตัวอย่างมากขึ้น มีเกร็ดความรู้ที่ผ่านการสังเกตค้นพบมากขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น สามารถเชื่อมโยงประเด็นย่อย ๆ ให้เป็นประเด็นใหญ่ได้มากขึ้น ตัวรู้ตัวนี้จะเปลี่ยนเป็นตัวรู้จริง ถ้าพวกเขาศึกษาต่อนำวิธีการเรียนรู้นี้ไปใช้ต่อกับเรื่องอื่น ปัญหาอื่นแล้วรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตัวรู้แจ้งก็จะเกิดขึ้น นั่นคือ ผู้เรียนคนนั้นจะมีปัญญา (Wisdom) มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าปัญญานั้นมีอยู่ในคนทุกคน ถ้านำใช้ประโยชน์ให้ถูกต้อง แม้คน ๆ นั้นอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ค่อยได้ แต่คิดได้และได้คิดบ่อย ๆ ปัญญาก็จะเกิดได้ในที่สุด เพียงแต่ว่าเกิดช้าหรือเร็วก็ย่อมอยู่ที่คนแต่ละคนว่าเขามีกัลยาณมิตรหรือไม่
คำว่ากัลยาณมิตรในที่นี้หมายถึง เพื่อนที่ดี ครูที่ดี แหล่งเรียนรู้ที่ดี และตัวเขาก็ดีเองด้วย การเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตัวเองต้องพึ่งตัวเองจึงจะสำเร็จผลตามที่ตั้งใจไว้
ใครจะเป็นคนตั้งใจ อันดับแรกครูผู้เขียนบทเรียนตั้งใจนำบทเรียนนั้นสอนจริง ไม่ใช่เขียนไว้เพื่อให้คนอื่นมาตรวจแต่ไม่นำสอน เขียนแล้วนำสอน อันดับที่สอง ขณะเขียนบทเรียนต้องตั้งใจว่า จบบทเรียนแล้วผู้เรียนเรียนจบจะเกิดอะไร เกิดอะไรคือ เกิดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ใดเกิดคุณธรรมจริยธรรมใด เกิดวิธีการเรียนรู้แบบใด เกิดความรู้ที่คงทน หรือความรู้ฝังแน่น หรือความรู้ฝังใจอย่างไร ผู้เรียนสามารถอธิบายได้ว่ารู้อย่างไร รู้อะไร รู้แค่ไหน รู้เพียงใด มีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ตรงนี้ต้องมี Rubrics เป็นเครื่องมือในการประเมินผล ผู้เรียนสามารถดูเกณฑ์มิติคุณภาพ (Rubrics) แล้วนำไปพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา นั่นคือ ครูจะต้องสร้างฝันของตนให้เห็นภาพตลอดแนวแล้วเดินทางไปตามทางที่สร้างฝันไว้ เพราะความสำเร็จของศิษย์ คือตัวบ่งชี้ความสำเร็จของครู และนี่คือ ชีวิตการสอนของการสอนที่มีชีวิต
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น