กลับมาห้องเรียนแห่งความเป็นจริง
ที่บ้านของนิไพศาลนั้น เมื่อเด็ก ๆ ได้ไปเรียนรู้เรื่องยุง เขาก็ค้นพบคำตอบด้วยตัวของเขาเองว่า “ทำไมในไหที่ดองหมากจึงมียุงอยู่ ทำไมในบ่อน้ำจึงไม่มียุง” เพราะพอเด็ก ๆ เปิดฝา
ไหหมากดองก็ได้กลิ่นเหม็นจากน้ำดองหมากที่หมักอยู่เป็นเวลานาน และมียุงบินออกมาเป็นจำนวนมาก เด็กพูดเสียงดัง ๆ ว่า เหม็น น้ำเหม็น แล้วเขาสรุปว่า ที่มีน้ำเหม็นจะมียุง ครูต้องคอย สอนเพิ่มว่า “น้ำเหม็น” เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “น้ำเน่า” เด็ก ๆ จึงเปลี่ยนเป็นว่า “ที่มีน้ำเน่าจะมียุ่ง” และเขาพูดกันเองว่า ที่บ่อน้ำน้ำไม่เน่าจึงไม่มียุง
ข้อสรุปที่เกิดขึ้นมาได้โดยบังเอิญว่า “ที่มีน้ำเน่ามียุง” นี้ครูไม่ควรมองข้าม เพราะนี่แหละคือ ความรู้ที่ฝังแน่น ( Enduring Understanding ) เพราะมันผุดพรายมาจากส่วนลึกของจิต ที่ถูกกระตุ้นด้วยบทเรียนหรือคำถามทีละข้อ ๆ จนสามารถสรุปออกมาได้อย่างนี้ และได้สังเกตต่ออีกภายหลัง เวลาเดินรอบบริเวณโรงเรียนถ้าพบหลุมบ่อมีน้ำขังเด็ก ๆ จะพูดถึงน้ำเน่าแล้วพวกเขาจะช่วยกันกอบโกยดินไปถมหลุมบ่อเหล่านั้น นี่คือตัวชี้วัดว่า เด็กเรียนรู้แล้วเกิดอะไร
ในขณะที่เด็ก ๆ หลายคน พูดออกมาว่า “ที่มีน้ำเน่าจะมียุง” นั้นสังเกตเห็น รอมือลี มีแววตาผิดสังเกต แววตาของรอมือลี วาว ขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ครูจึงถาม รอมือลีว่า “รอมือลีจะบอกอะไรครู” รอมือลีนิ่งพักหนึ่งแล้วหันไปพูดกับนิไพศาลเบา ๆ นิไพศาลจึงบอกครูว่า “รอมือลีว่าที่ทุ่งนามีปลักควาย (หลุมที่มีน้ำขังโตพอที่ควายจะลงไปนอนเกลือกกลิ้งแช่น้ำโคลนได้) ก็มียุงมาก” ครูจึงให้รอมือลีเดินนำเพื่อน ๆ ไปดูที่ตรงนั้น พอไปถึงที่หมายรอมือลีหยิบไม้ขึ้นมาหวดซ้ายป่ายขวาลงไปที่พงหญ้ารอบ ๆ หนองน้ำ โดยเฉพาะที่กองกิ่งไม้ซึ่งแช่น้ำโผล่ขึ้นมาข้างหนองน้ำจะมียุงบินขึ้นมา เป็นเครื่องพิสูจน์ ที่มีน้ำเน่าจะมียุง เพราะกลิ่นน้ำในหนองน้ำนี้เหม็นมากกว่ากลิ่นหมากดองที่บ้านนิไพศาล
ได้แอบดูรอมือลี เด็กน้อยรู้สึกภูมิใจที่เพื่อน ๆ ต่างยอมรับผลการพิสูจน์ที่ตนเป็นต้นคิด รอมือลียิ้มที่มุมปากนิดๆแววตาแจ่มใสดูมั่นใจมากขึ้น
เมื่อรอมือลีกับเพื่อนร่วมกันพิสูจน์เป็นบทสรุปได้ว่า ที่มีน้ำเน่าจะมียุง ให้เห็นได้ชัดขึ้นแล้ว นิไพศาลจึงบอกกับทุกคนว่า ที่สวนยางของพ่อเขาก็มียุงเยอะ เพราะมีต้นไม้เล็ก ๆ เป็นป่าเล็ก ๆ ในสวนยาง ครูจึงให้เด็ก ๆ ไปดูยุงที่สวนยางของนิไพศาลอีก แต่ไม่ลืมให้นึกถึงข้อตกลงในการเดินไปดูซึ่งได้วางไว้ตอนวางแผนการเรียน
ก่อนจะถึงสวนยางของนิไพศาล เป็นทุ่งนามีป่าละเมาะอยู่ด้วย ครูให้เด็ก ๆ ดูว่าในป่าละเมาะกลางแจ้งมียุงไหม เด็ก ๆ วิ่งลงไปในทุ่งนา ใช้ไม้ตีต้นไม้เล็ก ๆ ปรากฏว่าไม่ค่อยมียุง เด็ก ๆ พูดว่า “ร้อนครูยุงจึงไม่มี” และเด็กบางคนพูดว่า “ที่สว่างไม่ค่อยมียุง” ดังนั้น เมื่อไปถึงสวนยางครูจึงให้เด็ก ๆ ดูว่า ป่าละเมาะในระหว่างแถวต้นยางนั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง เช่น มืดไหม เย็นไหม อากาศชื้นไหม เด็ก ๆ เข้าไปดูเร็ว ๆ แล้วรีบวิ่งออกมาเพราะมี
ยุงมาก แล้วเด็ก ๆ ก็มานั่งสนทนากัน (วิเคราะห์ ) ในประเด็นว่า
ทำไมจึงมียุงที่ตรงนี้มากกว่าที่กลางทุ่งนา
ทำไมที่หนองน้ำเน่ามียุงด้วย
ยุงชอบอยู่ในที่อย่างไร
ผลของการร่วมกันคิดครั้งนี้ เมื่อเด็ก ๆ กลับมาถึงห้องเรียน ต่างคนต่างเขียนเรื่องส่งครู นิไพศาลเขียนว่า
ยุง
ในไหหมากมีน้ำเน่า
ในน้ำเน่ามียุง
ในบ่อน้ำไม่มียุง
น้ำไม่เน่า ไม่มียุง
ส่วนรอมือลี เขียนเรื่องยุง ว่า
ที่ต้นไม้มาก ๆ
มืด เย็น มียุง
แน่นอนว่า เด็กน้อยทั้งสองคนเขียนได้เพราะถามเพื่อนว่าคำนั้นคำนี้เขียนอย่างไร เมื่อเพื่อนเขียนให้ดู เขาจึงนำคำนั้นมาเขียน ครูให้ นิไพศาลอ่านให้ฟัง นิไพศาลอ่านได้ แสดงว่าเด็กคนนี้เขียนด้วยความคิดของตนเอง และเมื่อครูชี้คำบางคำให้อ่าน เช่น น้ำเน่า ไหหมาก บ่อน้ำ นิไพศาลก็อ่านได้ แสดงว่า คำเหล่านี้เริ่ม ติดใจ นิไพศาลแล้ว แต่สำหรับรอมือลีนั้น ฝากนิไพศาลมาส่งครูแทน นิไพศาลบอก “มันอายครู มันกลัวครูถามและให้มันอ่าน มันจึงให้ผมส่งแทนครู” ก็ไม่เป็นไรถือว่าแค่รอมือลีตั้งใจเขียนงานส่งในเวลาเรียนก็เป็นความสำเร็จระดับเริ่มต้นวิธีการเรียนครั้งนี้แล้ว การที่ เด็ก ๆ เขียนสั้น ๆ บางครั้งยังไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์นั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กชั้น ป.1 เพราะบางคนก็เขียนเรื่องได้สมบูรณ์ดี เช่น สะปีน๊ะ เขียนเรื่องยุงว่า
ยุง
ครูให้เด็ก ๆ ไปดูยุงที่ไหหมาก บ้านนิไพศาล
แล้วให้ดูยุงที่หนองน้ำเน่ากลางทุ่งนา และที่
สวนยางของนิไพศาล ที่มีน้ำเน่า ที่มืด อากาศ
เย็นจะมียุง แต่ที่สว่าง อากาศร้อนจะไม่มียุง
คนที่มีบัญชีคำน้อย ๆ ในตัวเขาก็จะเขียนได้ระดับหนึ่ง คนที่มีบัญชีคำมาก ๆ ก็จะเขียนได้อีกระดับหนึ่ง ขอเพียงแต่ครูอย่าปล่อยปละละเลยให้เด็กที่เขียนได้น้อย ๆ ไม่พัฒนาการเขียนเพราะไม่สะสมคำใหม่เพิ่มเติม ครูต้องช่วยเสริมตรงนี้ บทบาทตรงนี้ครูต้องแสดงให้เห็นว่าครูคือผู้กำกับการแสดงหรือเป็น Coach เป็นพี่เลี้ยงนักมวย ขณะที่นักมวยต่อยอยู่บนเวที มีจุดอ่อนต้องแก้ตรงไหน พี่เลี้ยงจะต้องบอกต้องสอนระหว่างพักยก คอยให้กำลังใจตลอดเวลา นักมวยจึงจะพัฒนาฝีมือขึ้นได้ ในชั้นเรียนก็เช่นกันครูต้องคอยสอนคอยให้กำลังใจแก่เด็ก ๆ อย่ามัวสอนแต่เด็กเรียนเก่งอย่าง สะปีน๊ะ แล้วเมินเฉยต่อการเรียนของ นิไพศาลและรอมือลี เด็กสองคนนี้ครูควรสนใจให้มาก เพราะเขาขาดหลายอย่าง
ขาดคำนำมาเขียน
ขาดความมั่นใจในการอ่าน-เขียน
ขาดความรู้ทางด้านภาษาที่จะนำมาร้อยเรียงให้
เป็นเรื่องราวได้ดั่งคนอื่น
ถ้าดู ๆ แล้ว นิไพศาล กับ รอมือลี จะเป็นเด็กที่ไม่รับผิดชอบเพราะมักส่งงานช้า บางครั้งก็ไม่ส่งงาน เล่นเป็นสิ่งที่ชอบมาก ๆ แต่ถ้าดูให้ดีเด็กทั้งสองจะตั้งใจเขียนงาน เวลาให้เขียนจะนั่งเขียนได้สักคำ พยายามเขียนคำต่อไป นึกไม่ออกเขียนไม่ได้ บ่อย ๆ ครั้งส่งผลให้เขาเบื่อจะคิด เบื่อจะเขียน ถ้าครูช่วยให้เขาคิดเขียนคำที่เขาต้องการเขียน เขาจะเขียน ได้ลองเรียกมาถามว่า “จะเขียนอะไร” พอเด็กน้อยบอกคำมาก็เขียนให้ดูในกระดาษเล็ก ๆ ให้เขาอ่านคำนั้น แล้วเขาก็นำไปเขียนในสมุด และนั่งคิดต่อว่าจะเขียนอะไร จึงเรียกให้มาอ่านสิ่งที่เขียน เด็กๆ อ่านให้ฟังแล้วถามว่า ต่อไปจะเป็นอย่างไร เช่น
“ลูกวัววิ่งที่ทุ่งนา” เขียนได้แค่นี้ก็หยุด ครูจึงถามว่า “วิ่งทำไม” เด็ก ๆ ตอบว่า วิ่งสนุก แล้วเขาก็ถามว่า สนุก เขียนอย่างไร เมื่อครูเขียนให้ดูเขาก็ไปเขียนต่อ และครูก็ถามย้ำ ๆ อย่างนั้นจนเรื่องสั้น ๆ ที่เด็กเขียนค่อยยาวขึ้นยาวขึ้น สำหรับความถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาในระยะเริ่มแรกจะไม่เน้นเท่าไรนัก ขอให้ผู้เรียนกล้าคิดกล้าเขียนให้เป็นเรื่องราวตามที่ต้องการจะสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ แล้วค่อย ๆ แก้ไขต่อไป โดยครูจะต้องบันทึกสิ่งเหล่านั้นไว้ในบันทึกหลังสอน และคิดหาทางช่วยเหลือเขาต่อไป ครูคอยกระตุ้นให้เด็ก ๆ คิดเขียนให้ได้ตามจิตคิดของเขา เมื่อผลงานออกมา ควรยกย่องชมเชยให้เขามีโอกาสได้รับความสำเร็จในการทำงานบ้าง
จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนิไพศาลและ รอมือลี ทั้งนี้รวมถึงเด็กคนอื่น ๆ ด้วย พบว่า พอพวกเด็ก ๆ ได้ออกมาเรียนรู้นอกห้องเรียน ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ได้เล่น ไปด้วย เรียนไปด้วย โดยที่พวกเด็ก ๆ ได้เรียนไปโดยไม่รู้ว่าเรียน เพราะทุกอย่างเป็นการเล่น และการเล่นนั่นแหละคือการแสดงในบทบาทของผู้เรียน
คำว่า เล่น นี้ เรามักจะพูดกันว่า เล่นมโนราห์ เล่นหนังตะลุง เล่นละคร ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการแสดง และในการเล่นทุกอย่างจะมีการเล่าเรื่องไปด้วยกัน เล่าไปในการเล่นนั่นเอง
มาถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่าในบทนี้จะเห็นบทบาทของครูที่มีบทบาทหลายบทบาท เช่น บทบาทของนักจิตวิทยาที่คอยกระตุ้นให้กำลังใจเด็ก เป็นนักวิจัยที่คอยสังเกตเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้เรียน เป็นผู้ร่วมเรียนรู้กับผู้เรียน ครูจะเป็นอะไรก็ตามแต่ แท้จริงแล้ว ครูยังคงเป็นครูอยู่นั่นเอง
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น