ในการเล่นนั้นมีการเรียนรู้ 2
ในบทแรกได้กล่าวมาแล้วว่า การสอนคือการแสดง แสดงแบบการเล่าเรื่องให้เป็นเรื่องราวไปตามเส้นทางของ Story Line โดยกำหนดให้ผู้เรียนที่ร่วมเล่นเรียนแบบ Play & Learn ได้เป็นผู้ร่วมแสดงด้วยนั้น ผู้เรียนจะมีโอกาสปฏิบัติการเล่นเรียนในรูปแบบ Learning by doing แล้วบทเรียนนั้นก็จะจัดอยู่ในประเภท Edutainment ซึ่งทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อ เพราะสนุกและผู้เรียนจะเรียนรู้แบบค่อย ๆ รู้เพิ่มขึ้น ๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้แจ้งในเรื่องนั้น ๆ
คำว่า รู้ ในที่นี้ไม่ใช่รู้แบบจำความรู้ที่บอกผ่านโดยครูผู้บอกเล่า แต่เป็นการเรียนที่รู้ได้ด้วยตนเอง เป็นการรู้แบบผู้เรียนค่อย ๆ สร้างองค์ความรู้ขึ้นมา ซึ่งก็เป็นไปตามทฤษฎี Constructivism นั่นเอง
การเรียนรู้แบบนี้ผู้เรียนจะสนุกไปกับการเรียน ผู้เรียนแต่ละคนจะมีโอกาสเผยตนเองออกมาให้เห็นว่า ตนถนัดด้านใดบ้าง ผู้เรียนบางคนอยู่ในห้องเรียน จะนั่งนิ่งเงียบ แสดงอาการเบื่อหน่ายที่จะทนนั่งเรียนเรื่องนั้น ๆ เบื่อการอ่าน เขียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการขีด ๆ เขียน ๆ แต่พอได้ออกมาเรียนนอกห้องเรียน เขาจะเปลี่ยนแปลงท่าทีของการเรียนต่างออกไปจากภาพเด็กคนเดิม ที่นั่งซึมเซาอยู่ในห้องเรียน เขากลายเป็นผู้นำกลุ่ม เขามีโอกาสเป็น Hero เพราะเขารู้เรื่องนอกห้องเรียน ที่กำลังเรียนอยู่ในขณะนั้น
นิไพศาล เป็นเด็กนักเรียนชั้น ป.1 อ่านเขียนไม่คล่องมาก ๆ แต่พูดเก่ง เวลาให้อ่าน เขียนหนังสือ นิไพศาลจะไม่สนุก เขาจะนั่งนิ่ง ๆ บางครั้งทำท่าว่าอยากจะหลับไปให้พ้น ๆ ชั่วโมง แต่เมื่อครูตั้งประเด็นถามว่า “ทำไมวันนี้ยุงมากเหลือเกิน” นิไพศาลยกมือทันทีแล้วพูดว่า “ผมรู้ครับ”
ตรงนี้จะสังเกตได้ว่า เรื่องใดที่ผู้เรียนรู้ เขามักจะแสดงอาการออกมาให้เห็น บทบาทตรงนี้ครูต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้ควบคุมการแสดงครูจะต้องหาทางกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความรู้ที่เขามีอยู่ออกมาให้เพื่อนได้รับรู้ให้จงได้
ครูต้องเป็นCoach หรือเป็นนักวิจัยต้องคอยสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนอยู่ทุกขณะ ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ค่อยพูด มักอยู่นิ่งเงียบก็ตามที ลองดูที่ดวงตาของเขา ถ้าเรื่องใดถูกใจเขา ดวงตาจะบอกให้ครูรู้ หากครูหมั่นซักถามเขาจะตอบ หรือไม่เขาจะกระซิบบอกให้เพื่อนตอบแทน ก็ดีแล้วครูจะได้รู้ว่าเขารู้อะไร แค่ไหน ดีกว่าปล่อยให้เขานั่งนิ่งเงียบทั้งวัน
นิไพศาล ไม่ใช่เด็กประเภทนั่งนิ่งเงียบ เขามักจะแสดงออกในสิ่งที่เขาทำได้ เมื่อครูถามถึงเรื่องยุง นิไพศาลรู้ว่าเขารู้เรื่องยุงจึงรีบยกมือตอบทันที นิไพศาลเล่าว่า “ยายเขาแช่หมากไว้ในไห หลายสิบไห เพื่อเอาไว้กินเวลาหมดหน้าหมากออกลูกและจะได้ขายด้วย บ้านคนอื่น ๆ ก็ดองหมากด้วย เวลาจะเอาหมากพอเปิดไห ยุงจะบินออกมามาก ๆ แต่ละไหมียุงมาก เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้ยุงมีมาก”
นี่คือคำตอบของเด็กคนหนึ่งที่รู้เรื่องยุง ครูได้โอกาสที่จะสอนให้เด็กรู้จักวางแผนการเรียนรู้ โดยการถามว่า “ใครจะไปดูยุงที่บ้านนิไพศาลบ้าง” แน่นอนเด็ก ๆ ต้องยกมือเพื่อบอกว่า เขาไปกันทุกคน ครูจึงตั้งคำถามง่าย ๆ ให้เด็ก ๆ ช่วยกันคิดว่า
3.จะเดินทางไปดูยุงกันอย่างไร และจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ขณะที่ไปดูยุง ( ร่วมกันตั้งข้อตกลง)
4.ดูยุงเสร็จแล้วกลับมาโรงเรียนจะทำอย่างไร ครูจึงจะรู้ว่า พวกเรารู้เรื่องยุง ( ฝึกคิดรายงานผลการเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้)
ทั้งหมดนี้ครูถือโอกาสสอนวิธีการวางแผนการเรียนรู้ ในการออกไปศึกษานอกสถานที่ (out door education) ให้แก่ผู้เรียน เพราะการวางแผนการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่จำเป็นมากสำหรับผู้เรียน ถ้าผู้เรียนสามารถวางแผนการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองแล้ว นั่นคือผู้เรียนสามารถพึ่งพาตนเองในการศึกษาเรียนรู้ได้
ถ้าหากเด็ก ป.1 รู้จักบอกตัวเองว่า “ทำไมพวกเขาจึงต้องเรียนรู้เรื่องนี้” ได้ก็จะช่วยให้พวกเขาพยายามเดินทางไปสู่เป้าหมายที่พวกเขาพยายามสร้างกันขึ้นมา และเชื่อแน่ว่า พวกเขาจะไม่หลงทาง เพราะเขาได้กำหนดเป้าหมายไว้ด้วยตนเองแล้ว นี่คือ การเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายใช่ไหม ยิ่งพวกเขาเรียนรู้แล้ว สามารถบอกเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ว่า ได้เรียนรู้อะไร เรียนรู้ด้วยวิธีการใดบ้าง และสามารถนำวิธีการเรียนรู้นี้ไปเรียนรู้เรื่องอื่น ๆได้อย่างไร ต่อไปจะเป็นการดีเลิศสำหรับเด็ก ๆ แต่นั่นแหละครูต้องใจเย็น ต้องอดทน ต้องเพียรพยายามฝึกหัด ฝึกฝน ฝึกปรน ฝึกปรือให้เด็ก ๆ รู้จักวางแผนการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
สำหรับผู้เรียนระดับสูงขึ้นไปนั้น ในการวางแผนการเรียนรู้จะต้องมีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการคิดตั้งคำถาม เพื่อนำไปสืบค้นหาข้อมูลจากสถานการณ์ที่จะเรียนรู้ ได้ข้อมูลมาแล้วมาร่วมกันตั้งประเด็นอภิปราย ๆ แล้วร่วมกันสรุปว่า
ได้เรียนรู้เรื่องอะไร แค่ไหน ชัดเจนเพียงใด
ได้เรียนรู้ด้วยวิธีการใด
มีความรู้สึกต่อการเรียนรู้อย่างไรบ้าง
ผลของการเรียนรู้ที่ได้มามีคุณภาพมาก-น้อย
เพียงใด รู้ได้อย่างไรว่ามีคุณภาพ
โดยเฉพาะคำว่า รู้ได้อย่างไร นั้น ครูจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมกันจัดทำระดับคุณภาพ (Rubrics) เพื่อนำเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลงานของตน
จากการสอนที่ผ่าน ๆ มา พบว่าสิ่งที่ยากมากสำหรับผู้เรียนคือการตั้งคำถาม ที่จะนำไปสืบเสาะค้นหาข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ ตรงนี้ครูจะต้องคอยช่วยเหลือโดยการตั้งคำถามซอยย่อย กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดตั้งคำถามที่ตรงกันข้ามกับการตอบคำถามของครู
เช่น ครูถามว่า “ ได้คำถามมาแล้วเราจะไปถามใคร” ใหม่ ๆ เด็กจะตอบว่าไปถามคนนั้นไปถามคนนี้ แต่พอเข้าใจคำถามซอยย่อย
แล้ว พวกเขาจะตั้งคำถามซอยย่อยเพื่อให้ผู้เรียนไปคิดตั้งคำถามต่อ “เป็นคำถามเพื่อให้คิดตั้งคำถาม” การฝึกตั้งคำถามนี้จำเป็นจะต้องใช้เวลามากในระยะแรก ๆ แต่ต่อ ๆ ไปเวลาจะลดน้อยลง เพราะคำถามเหล่านี้กลายเป็นสูตรสำเร็จรูปที่ผู้เรียนจะนำมาใช้ได้ทันที กลายเป็นนวัตกรรมที่นำมาใช้ในการคิดวางแผนของผู้เรียน
จากการสังเกตพฤติกรรมการคิดตั้งคำถามของผู้เรียนที่ผ่านมา ใหม่ ๆ จะลอกแบบครู แต่ฝึกต่อ ๆ ไป ผู้เรียนจะคิดตั้งคำถามที่มีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น มีความยากมากขึ้น และมีความลึกของคำถามเพิ่มขึ้นตามระดับ นั่นหมายถึงว่า เวลาแห่งการวางแผนการเรียนรู้ย่อมจะขยายช่วงเวลาออกไปอีก เพราะผู้เรียนเริ่มคิดในสิ่งที่ยากขึ้น ครูจะต้องคอยดู คอยให้ความช่วยเหลือเมื่อผู้เรียนต้องการความช่วยเหลือ และครูจะต้องคอยสังเกตบันทึกพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อนำสรุปหาข้อที่ควรพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น