เขียนมาถึงตรงนี้แล้วก็มองเห็น พุทธวิธีสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ ดังนี้คือ
1. พระองค์ทรงใช้วิธีสอนแบบ “แทงตรงจุด” มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นนักออกแบบการสอนที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงออกแบบสอนผู้เรียนแต่ละคนด้วยกลวิธีสอนที่ไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายกันในรูปแบบภายนอก แต่แก่นแท้ของคำสอนที่แทงทะลุใจ จะเลือกความยากง่ายของสาระที่เหมาะกับผู้เรียนคนนั้น ๆ มาสอน เช่น พระองค์ทรงใช้มายาภาพ หรือ ภาพเนรมิต ให้พระนางเขมาเห็นคล้าย ๆ กับที่พระองค์ทรงเนรมิตให้นางปฏาจาราเห็น แต่พอตรงธรรมเทศนาที่จี้ใจให้เกิดความคิดถึงขั้น Insight จนจิตสว่างโพลงขึ้น พระองค์ทรงเลือกธรรมะที่เหมาะกับสภาวะจิตของแต่ละคนต่างกัน พูดง่าย ๆ ว่าสื่อคล้ายกัน แต่บทเรียนต่างกัน
ความเหมาะสมของสื่อประกอบสอนกับธรรมะหรือบทเรียนที่ตรงกับสภาวจิตของผู้เรียนรายบุคคลมีผลต่อความเข้าใจแบบความรู้ฝังแน่น หรือ ความเข้าใจที่คงทน ( Enduring Understanding)หรือการเกิดความรู้ที่ลึกซึ้ง ( Deep knowledgee) ขึ้นมาในทันทีทันใดนั้น ความรู้นี้จะเป็นความรู้ที่ถาวร ติดใจผู้เรียนไปนานแสนนานและสามารถเปลี่ยนสภาวจิตของผู้เรียนได้ แบบฉับพลัน
กับองคุลิมาลพระพุทธองค์ทรงใช้ข้อธรรมะที่สั้นแต่ให้ข้อคิด ซึ่งเป็นการเหมาะกับองคุลิมาล เพราะองคุลิมาลเป็นคนฉลาด เป็นนักคิด รับรู้ได้ไว จึงเรียนเก่งจนเพื่อนอิจฉา
คำสอนที่ว่า “เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด” คำ ๆ นี้เป็นคำที่มีพลัง พลังคำกับพลังความคิดที่มาสบเหมาะกันด้วยสภาวจิต สภาวธรรมและถึงพร้อมด้วยเวลา ทำให้องคุลิมาลต้องครุ่นคิดแล้วเกิดความสงสัยว่าทำไมสมณะองค์นั้นจึงพูดอย่างนั้น พูดว่า เราหยุดแล้วแต่ยังก้าวเดินต่อไป เดินอย่างไวมาก แม้เราวิ่งจนเหนื่อยก็ยังไล่ไม่ทัน จึงตะโกนถามไปว่า หยุดอย่างไรก็ยังเดินอยู่ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสตอบว่า “เราหยุดทำบาป แต่เธอยังไม่หยุด” คำ ๆ นี้มีพลังในการขุดคุ้ยจิตใต้สำนึกเดิมของอหิงสกะ ผู้นิ่มนวล อ่อนโยน จิตเปี่ยมไปด้วยเมตตา จนได้รับนามว่า อหิงสกะ ซึ่งหมายถึงผู้ไม่เบียดเยียน ความรู้ (สึก) เดิม ขององคุลิมาลพอได้กระทบกับธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ผุดออกมาจากบึ้งจิต สะกดให้องคุลิมาลเข่าอ่อน ทิ้งดาบ ทรุดตัวลงก้มกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธองค์
การที่องคุลิมาลวางดาบแล้วก้มลงกราบแทบเบื้องพระบาทของพระพุทธองค์นั้น คือความศรัทธาพระพุทธเจ้า เกิดมีขึ้นในจิตขององคุลิมาลแล้วเมื่อศรัทธาเกิด หัวใจก็เปิดพร้อมรับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์
คนเราเมื่อพร้อมที่จะเรียนรู้ ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจเรื่องที่เรียนรู้ การที่องคุลิมาล พร้อมที่จะเรียนรู้นั้นเป็นเพราะ บทเรียนบทแรกที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้เป็นบทเรียนที่มีความหมายต่อองคุลิมาล “เราหยุดทำบาป แต่เธอยังไม่หยุด” คำตรัสสั้นที่มีความหมายทำให้ ซึ้งใจองคุลิมาล คำว่า หยุด กับ บาป เป็นลักษณะที่องคุลิมาลมองเห็นได้ชัดว่า ตนจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรต่อไป และที่แล้ว ๆ มาตนทำอะไรลงไป หลักการง่าย ๆ ที่มองเห็นนี้คือ ข้อปฏิบัติที่องคุลิมาลต้องปฏิบัติ ดังนั้น ประโยคที่ว่า “เราหยุดทำบาปแล้วแต่เธอยังไม่หยุด” จึงเป็นความคิดรวบยอดแบบหลักการ เป็นความคิดสั้น ๆ ที่มองเห็นภาพรวมของการกระทำของตนที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
“หยุด” คือคำหลักที่ต้องนำมาใช้ใน “การ” กระทำต่อไปขององคุลิมาล ๆ เข้าใจในหลักการข้อนี้อย่างลึกซึ้ง แบบฝังแน่นในหัวใจ เป็น Deep knowledge หรือ ความรู้ที่ลึกซึ้ง อันเป็นความรู้ที่ผุดพรายขึ้นมาในจิตของผู้เรียนเอง จะโพลงขึ้นมาจนบางครั้งบางคนตะโกนว่า รู้แล้ว ๆ นั่นเอง
ทีนี้ลองมาดูความหมายของคำว่า หลักการ สักนิด รศ.ดร.ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2546 ) กล่าวว่า
“หลักการ ( Principle ) คือข้อความที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดรวบยอดตั้งแต่สองความคิดขึ้นไป ความรู้หลักการนั้นในบางครั้งเราก็เรียกว่า กฏเกณฑ์ ( Rules) หรือข้อสรุปรวบยอด ( Generalization) ตัวอย่างของหลักการ เช่น
สองบวกสองเท่ากับสี่
ยุงชุมเพราะน้ำเน่า
นกบินทางใต้ในฤดูหนาว
ข้อความชุดนี้เป็นหลักการก็เพราะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดรวบยอด ข้อความสองบวกสองเท่ากับสี่ มีความคิดรวบยอดอยู่ 4 อย่างคือ สอง บวก เท่ากับ สี่ ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าใจและเรียนหลักการได้ต้องเรียนรู้ความคิดรวบยอดมาก่อน
การ รู้ แบบโพลงขึ้นมาจากบึ้งจิตนี้ ท่านพุทธทาสภิกขุ ( มปพ.) เขียนเล่าไว้ในเรื่อง เซ็นในสวนโมกข์ จะขอนำมาเผยแพร่ต่อ 2 เรื่อง คือ
ยิงไม่เป็น
ภิกษุรูปหนึ่งไปพบคนปองร้ายกำลังโก่งศรจะยิงท่านให้ตาย ท่านพูดขึ้นว่า “ท่านรู้จักวิธีที่จะยิงให้ตายอย่างเดียวเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้จักวิธีที่จะยิงให้เป็นเลย” ผู้ปองร้ายได้สติ เข้าใจแนวธรรมก็บรรลุเซ็นในขณะนั้นเอง
นักปราชญ์เอกแห่งราชวงศ์ถัง
นักปราชญ์เอกแห่งราชวงศ์ถัง ชื่อ ไป่จีอี้ เห็นท่าน เนี่ยวเค่อ (แกล้ง ) ขึ้นไปทำสมาธิบนยอดไม้ จึงได้ท้วงด้วยความเป็นห่วงว่า “อันตรายท่าน”
ท่านเนี่ยวเค่อย้อนว่า “เป็นนักปราชญ์ เป็นเทศา อันตรายกว่า”
ไป่จีอี้สะอึก เข้าใจและสำนึกสังเวชในความเป็นปราชญ์ที่ต้องถูกกิเลสชั้นลึกเล่นงานอยู่ จึงถามแกมสารภาพว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องทำอย่างไร ถึงจะพ้นอันตรายนี้ได้”
ท่านเนี่ยวเค่อตอบพร้อมกับยกนิ้วสามนิ้วว่า “อย่าทำชั่วเด็ดขาด ทำดีให้เต็มสามารถ และไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งดีและชั่ว” ( หลักโอวาทปาฏิโมกข์)
นักปราชญ์เอกผู้เป็นข้าหลวงใหญ่ประท้วงเชิงดูหมิ่นความรู้ของพระว่า “คำสอนนี้เด็กสามขวบก็พูดได้” (ทำไมต้องเอามาสอนฉันผู้เป็นปราชญ์ล่ะ)
ท่านเนี่ยวเค่อ ชี้หน้าตวาดว่า “ถูกของแก เด็กสามขวบพูดได้ แต่เฒ่าหัวหงอกอายุแม้แปดสิบก็ปฏิบัติยังไม่ได้นะ”
ไป่จีอี้รู้สึกตัว และเข้าใจใหม่ลึกซึ้ง ตื่นขึ้นจากธรรมดาและมีผลให้เปลี่ยนนิสัยเดิมตั้งแต่นั้นมา
เรื่องเล่าทั้ง 2 เรื่องนี้ ยืนยันให้เห็นได้ว่า ความรู้นั้น ถ้าผู้ใดมีข้อมูลด้านใดไว้มาก ๆ พอถึงโอกาสได้รับการขัดเกลา ก็จะโพลงขึ้นมาเป็นความรู้ได้ ดังเรื่องแรก ผู้ปองร้ายพอถูกจี้ตรงจุดด้วยคำพูดของภิกษุ ก็ได้สติเกิดความเข้าใจในธรรมก็บรรลุเซ็นทันที ส่วนเรื่องที่สอง ชื่อว่าปราชญ์ย่อมจะมีข้อมูลความรู้และตัวความรู้ มากมายหลายสาขา แต่ปัญญาไม่เกิด เมื่อถูกท่านเนี่ยวเค่อ กระตุกด้วยคำพูดแทงใจดำเข้าอย่างแรง ไป่จีอี้สะอึก ซึ่งเป็นอาการรู้ครั้งแรก พอถูกกระแทกด้วยคำพูดที่หนักหน่วงด้วยเสียงตวาดแบบด่าตรง ๆ ไป่จีอี้รู้สึกตัว เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างลึกซึ้ง ตื่น (คือพุทธะ) จากการไม่รู้ คือมีอวิชชาที่ยึดมั่นถือมั่นว่า ฉันคือปราชญ์ ในราชสำนัก ฉันย่อมรู้ดีกว่าคนอื่น เรื่องง่าย ๆ 3 ข้อใคร ๆ ก็รู้ แต่พอถูกว่า “รู้แต่ทำไม่ได้” จึงซึ้งในคำพูดนี้ทุกอย่างที่เคยยึดไว้ก็ถูกปล่อยวางออกหมด ความเป็นพุทธะคือตื่นก็ปรากฏในจิตเป็นปัญญาบริสุทธิ์เกิดขึ้นมาทันที
คำพูดของพระภิกษุที่พูดกับผู้ปองร้ายและคำพูดแรงของเนี่ยวเค่อ นั้นเป็นความคิดรวบยอดแบบหลักการทั้งนั้น เมื่อผู้เรียนเข้าใจได้ก็จะทำให้ผู้เรียนรู้ต่อไป อาจจะไม่เหมือนแต่ต่อยอดได้ เป็นความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นด้วยตัวของผู้เรียนเอง เช่นเดียวกัน องคุลิมาล พอได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้า องคุลิมาลก็รู้ได้ด้วยตนเอง จึงยอมก้มกราบแทบเบื้องยุคลบาทของพระพุทธองค์
นี่คือบทเรียนที่ “ชุบชีวิตคน” เป็นบทเรียนที่ไม่ตาย โรงเรียนใดทำได้แบบนี้ ก็จะได้ชื่อว่า โรงเรียนที่ไม่ตาย
99 |
2. พระองค์ทรงใช้ มหาเมตตา มหากรุณาเป็นตัวนำทางให้องคุลิมาลเรียนรู้เรื่องราวของชีวิตใหม่ ที่กล่าวอย่างนี้เพราะองคุลิมาลเป็นโจรร้ายชื่อดัง ฆ่าทุกคนที่พบเห็นเพื่อนำนิ้วมาทำพวงมาลัยร้อยคอ พระพุทธองค์ทรงรู้ดีว่าองคุลิมาลดุร้ายยิ่งนัก พระองค์รู้ถึงว่า ถ้าปล่อยให้องคุลิมาลจะถึงขั้นเป็นผู้ทำอนันตริยธรรม คือ ฆ่าแม่ของตนเอง อันเป็นบาปหนักที่สุด พระองค์จึงตัดสินพระทัยไปช่วย คือช่วยองคุลิมาลให้พ้นจากการสร้างบาปอันใหญ่หลวง ช่วยให้นางมันตานีรอดพ้นจากการถูกองคุลิมาลฆ่า สิ่งที่ได้คือ ได้พระอรหันต์มาเพิ่มอีกหนึ่งองค์ด้วย การช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์เป็นมหาเมตตา มหากรุณาที่พระองค์ทรงมี ซึ่งไม่เฉพาะแต่องคุลิมาลเท่านั้น กับคนอื่น ๆ อีกมากมายพระพุทธองค์ก็ทรงช่วยเหลือตลอดมาจนกระทั่ง ณ วันนี้
มีเรื่อง เซ็น เรื่องหนึ่งที่จำได้ ขอนำมาเล่าประกอบเรื่อง
วัดเซ็นวัดหนึ่ง มีลูกศิษย์มาเรียนรู้เรื่องเซ็นหลายสิบคน ศิษย์ทุกคนได้รับการฝึกสอนจากเจ้าอาวาสให้ประพฤติปฏิบัติดีทุกคน
วันหนึ่งคณะลูกศิษย์จำนวนหนึ่งได้เข้าไปร้องทุกข์กับเจ้าอาวาสว่า ศิษย์วัด คนหนึ่ง ขโมยสิ่งของเครื่องใช้ของตน เจ้าอาวาสได้เรียกศิษย์วัดคนนั้นมาว่ากล่าวสั่งสอนแล้วให้กลับไปทำงาน เรียนหนังสือ
อยู่มาไม่นานนักคณะลูกศิษย์กลุ่มเดิมก็ไปร้องทุกข์กับเจ้าอาวาสอีกว่า ศิษย์วัด คนนั้นขโมยสิ่งของเครื่องใช้ของพวกตนอีก เห็นควรเอาไว้ไม่ได้ ต้องไล่ออกไป
ท่านเจ้าอาวาสนั่งสงบนิ่งก่อนจะกล่าวว่า “พวกเธอทุกคน ควรออกจากวัด กลับไปบ้านได้แล้ว ส่วนเจ้าขโมยคนนั้นสมควรอยู่วัด คณะศิษย์วัดจำนวนมาก แสดงอาการไม่พอใจ สงสัยจึงถามว่า “ทำไมพระอาจารย์จึงกล่าวอย่างนี้ ในเมื่อเราทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ทำไมต้องออกจากวัด ส่วนคนขี้ขโมยพระอาจารย์เลี้ยงไว้”
100 |
ท่านเจ้าอาวาสจึงตอบว่า “เพราะเหตุนี้แหละฉันจึงให้พวกเธอกลับบ้านได้แล้ว เพราะพวกเธอรู้ดี รู้ชั่ว พวกเธอเว้นชั่วทำดี เธอสมควรกลับไปช่วยพ่อแม่นำความเจริญให้แก่ตระกูล ส่วนเจ้าขโมยขนาดฉันหมั่นสั่งสอนแล้วยังขโมยอยู่อีก ถ้าปล่อยไปจะขนาดไหน”
ตั้งแต่นั้นมาศิษย์วัดทุกคนอยู่วัดดังเดิม และการขโมยสิ่งของก็ไม่เกิดขึ้น นี่คือการสอนแบบยกระดับจิตวิญญาณของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนอย่างนี้และน่าจะมีในโรงเรียนปัจจุบันนี้ เพราะจะเป็น “โรงเรียนที่ไม่ตาย”
https://docs.google.com/docume...
ต้องการอ่านทั้งเล่มได้ที่ https://sites.google.com/site/chatreesamran/hnangsux/-doc-2 ครับ