ในคดีเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๐๑๐ (CEDH 24 juin 2010, n°304141/04) ศาลมีโอกาสได้พิจารณาในรายละเอียดของหัวข้อดังกล่าว
อันที่จริงรัฐสมาชิกของ European Council เพียง ๗ รัฐเท่านั้นที่ยอมรับการสมรสระหว่างคนเพศเดียวกัน ในคดีนี้เป็นกรณีของชายชาวออสเตรียนคู่หนึ่งที่ยื่นฟ้องรัฐออสเตรียต่อศาลสิทธิมนุษยชน โดยอ้างว่ารัฐออสเตรียกระทำการอันเป็นการละเมิดต่อมาตรา ๑๒, และมาตรา ๘ ประกอบมาตรา ๑๔ ของอนุสัญญา ECHR เนื่องจากกม.ออสเตรียนยอมรับเฉพาะการสมรสของคนต่างเพศกันเท่านั้น
๑) มาตรา ๑๒ Right to marry
เป็นที่ทราบกันดีว่ามาตรา ๑๒ ของอนุสัญญาฯ นั้น รับรองเฉพาะแต่การ "สมรส" และการ "ก่อตั้งครอบครัว" ของชายและหญิงเท่านั้น ซึ่งตัวบทใช้คำว่า Men and Women ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายสัญชาติของคู่สมรส อย่างไรก็ดี ศาลสิทธิมนุษยชนในคดีนี้ได้ยืนยันว่าอนุสัญญา ECHR มิได้ปฏิเสธสิทธิในการสมรสของคู่รักเพศเดียวกันโดยชัดแจ้งแต่ประการใด และแนวคำพิพากษาของศาลสิทธิมนุษยชนเองก็แสดงให้เห็นว่าศาลมิได้ยึดติดอยู่กับเกณฑ์ "ความสามารถในการตั้งครรภ์" ของบุคคลดังกล่าว เนื่องจากศาลได้เคยมีคำพิพากษายอมรับการสมรสระหว่างบุคคลที่แปลงเพศแล้วกับบุคคลเพศตรงข้าม เช่นเดียวกับที่กฎหมายภายในของหลายๆรัฐยอมรับแล้วนั่นเอง
เหตุผลประการสำคัญที่ศาลได้ให้ไว้ในคดีนี้คือ การสมรสนั้นถือได้ว่าเป็น "สถาบันพื้นฐาน" ของสังคม และท่าทีของรัฐต่างๆในเรื่องของการยอมรับการสมรสระหว่างคนเพศเดียวกันนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ซึ่งจะเห็นได้จากกฎหมายภายใน ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่อาจกล่าวได้ว่ารัฐออสเตรียกระทำการอันเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๒ ของอนุสัญญาฯ สังเกตได้ว่าศาลสิทธิมนุษยชนจะแสดงเหตุผลเช่นเดียวกันนี้อยู่เสมอๆ และยืนยันด้วยว่ามาตรา ๑๒ มิได้บังคับให้รัฐสมาชิกต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อรับรองการสมรสของคนเพศเดียวกันแต่อย่างใด
๒) มาตรา ๘ Right to respect for private and family right ประกอบมาตรา ๑๔ Prohibition of discrimination
สำหรับทั้งสองเรื่องนี้ศาลสิทธิมนุษยชนได้ให้การรับรองว่าความสัมพันธ์ของคู่รักเพศเดียวกันนั้นย่อมได้รับการคุ้มครองตามมาตรา ๘ เช่นเดียวกันกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเมื่อมีการก่อตั้งครอบครัว เนื่องจากถือได้ว่าเป็น "สิทธิในการก่อตั้งครอบครัว" เช่นกัน
คำถามคือ รัฐมีหน้าที่อย่างใดบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือการคุ้มครองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของคู่รักเพศเดียวกัน และทำให้สิทธินี้เป็นรูปธรรม???
คำตอบที่เห็นได้ชัดเจนคือ รัฐต้องพยายามหาทางออกอื่นๆให้แก่คนกลุ่มนี้ ในกรณีที่รัฐนั้นยังไม่พร้อมที่จะรับรองการสมรสระหว่างคนเพศเดียวกัน กล่าวคือ รัฐสามารถออกกฎหมายเพื่อ "รับรองสถานะทางกฎหมาย" ของคู่รักเพศเดียวกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นการรับรองทางทะเบียน หรือ PACS เราจะเห็นได้ว่าศาลสิทธิมนุษยชนใช้การตีความอย่างกว้างสำหรับคำว่า "สิทธิในการก่อตั้งครอบครัว" ซึ่งเป็นผลดีต่อคู่รักเพศเดียวกันนั่นเอง
อย่างไรก็ตามศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐสมาชิกหลายๆรัฐต่างแก้ไขกฎหมายเพื่อรับรองสถานะทางทะเบียนของการอยู่ร่วมกันระหว่างคู่รักเพศเดียวกันนั้น มิได้หมายความว่าศาลจะต้องลงโทษออสเตรียที่ไม่แก้ไขกฎหมายโดยทันทีหรือแก้ไขช้ากว่าประเทศอื่น (เนื่องจากในข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลสิทธิมนุษยชนเมื่อปี ๒๐๐๒ และต่อมาออสเตรียได้ประกาศใช้กฎหมายรับรองการจดทะเบียนระหว่างคู่รักเพศเดียวกันเมื่อ ๑ มกราคม ๒๐๑๐ และศาลได้มีคำพิพากษาคดีนี้วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๐๑๐) เห็นได้ว่าในที่สุดทางรัฐบาลออสเตรียก็ได้แก้ไขกฎหมายเรื่องนี้
นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่าเรื่องอำนาจปกครองบุตรหรืออำนาจของบิดามารดานั้นยังคงมีความแตกต่างกันอยู่สำหรับกรณีของคู่ชายหญิงและคู่เพศเดียวกัน ด้วยเหตุนี้การที่รัฐกำหนดสถานะที่แตกต่างให้ระหว่างคนสองกลุ่มข้างต้นในเรื่องการสมรสนั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด
วันนี้ขอเล่าสั้นๆค่ะ
ท่านผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าหากเป็นกรณีของคนที่ผ่านการแปลงเพศแล้ว ต่อมาต้องการสมรสกับคนที่มีเพศตรงข้ามกับตน กฎหมายจะยอมรับการสมรสนี้หรือไม่? สิทธิที่คนเหล่านี้จะได้รับจากประกันสังคมและกรณีเกษียณอายุจะเป็นอย่างไร?
ไว้จะมาเล่าต่อค่ะ
ไม่มีความเห็น