ความจริงแล้วการสอนแบบผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมาย ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ได้ทรงนำสอนเป็นประจำ ทั้งนี้ก่อนสอนพระองค์ก็ทรง วางเป้าหมายการสอน (Understanding Goals) และเกณฑ์การประเมินผลอย่างมีคุณภาพ ( Rubric) ไว้ชัดเจนว่าผู้เรียนเรียนแล้วจะเกิดผลอย่างไร ระดับใด (โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ) และกิจกรรมการเรียนรู้ก็เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ( ผู้ปฏิบัติธรรม ) สามารถปฏิบัติแบบ Learning by doing ผู้เรียนจะเป็นผู้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก ) และเป็นผู้ประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง) จึงสามารถกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของการสอนแบบ Child Centered และ Backward Design จากการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับการสอนของพระพุทธองค์ นั้นพบว่า พระองค์ทรงใช้รูปแบบการสอนที่หลากหลายเหมาะกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล ซึ่งวิธีสอนที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง ต่อไปนี้ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ในเรื่อง พระกีสาโคตมีเถรี ใน “ชีวประวัติพุทธสาวิกา” : (จำเนียร ทรงฤกษ์ : 2544 ) มีเรื่องว่าดังนี้
นางกีสาโคตมี เป็นสะใภ้ของเศรษฐีในพระนครสาวัตถี นางมีบุตรชายน่ารักกำลังหัดพูด หัดเดินอยู่คนหนึ่ง แต่น่าเสียดาย เพราะบุตรชายของนางได้เสียชีวิตลง นางรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก นางคิดว่าบุตรของนางยังไม่ตาย นางจึงอุ้มศพลูก แล้วไปเที่ยวถามหายาที่จะรักษาลูกชาย ใคร ๆ ที่นางถามหาต่างตอบว่ายาไม่มี จนกระทั่งมาถึงบัณฑิตผู้หนึ่งบอกว่า พระพุทธองค์มียารักษาลูกของนางได้ นางจึงอุ้มศพลูกน้อยเข้าไปเฝ้าพระศาสดายังสำนักของพระองค์และกราบทูลถามทันทีว่า “พระองค์รู้จักยาที่จะรักษาลูกของหม่อมฉันไหม พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูก่อนกีสาโคตมี ตถาคตรู้จัก”
นางกีสาโคตมีกราบทูลถามว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไรบ้างที่จะทำเป็นยา พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ตถาคตต้องการเมล็ดผักกาดสักหนึ่งกำมือ”
นางกีสาโคตมีตอบว่า “หม่อมฉันจะหามาถวายให้จงได้ แต่ทว่าควรจะหาเมล็ดผักกาดได้ที่ไหน พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนกีสาโคตมี เธอจงเข้าไปในพระนคร โดยเที่ยวไปให้ทั่วพระนคร ตั้งแต่ต้นจนจดปลายสุด ถ้าในบ้านเรือนใดไม่มีคนตาย เธอจงนำเมล็ดผักกาดจากบ้านเรือนนั้นมาให้ตถาคต”
นางกีสาโคตมีดีใจมากที่จะได้ยามาชุบชีวิตลูกของนาง นางจึงออกเดินทางเข้าไปในพระนคร โดยอุ้มบุตรชายที่ตายไปแล้วด้วย นางเข้าไปในพระนครถึงบ้านใดก็ขอเมล็ดผักกาดจากเจ้าของบ้าน เมื่อเจ้าของบ้านนำเมล็ดผักกาดมาให้ นางก็ถามว่า “ในบ้านหลังนี้เคยมีคนตายมาก่อนบ้างไหม” เจ้าของบ้านทุกบ้านต่างตอบว่า “กีสาโคตมีเธอถามอะไรอย่างนี้ มีใครบ้างที่จะนับจำนวนคนที่ตายแล้วในบ้านหลังนี้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่มีเหลืออยู่น้อย ส่วนผู้ที่ตายไปมีมากกว่า” นางขอเมล็ดผักกาดบ้านใดก็จะได้รับคำตอบว่า บ้านนี้เคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น นางจึงเกิดความเศร้าสลดใจว่า “เราเข้าใจว่าตายแต่บุตรของเราเท่านั้น แท้จริงคนตายมีมากกว่าคนเป็นที่อยู่ในบ้านทั้งสิ้น” เมื่อนางคิดได้ดังนี้ หัวใจที่อ่อนเพราะความรักบุตร ก็เกิดความแข็งขึ้นมา นางจึงนำศพลูกชายไปที่ป่าช้า แล้วพูดกับศพบุตรชายว่า “ลูกเอ๋ย แม่คิดได้ว่า ความตายนี้เกิดกับเจ้าแล้ว แต่ความตายมิได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะกับลูกของแม่เท่านั้น มรณธรรมนี้เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทั่วไปกับมหาชน” แล้วนางก็วางศพบุตรชายไว้ในป่าช้านั่นเอง นางก็กลับไปเฝ้าพระพุทธองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามว่า “ดูก่อนกีสาโคตมี เธอได้เมล็ดผักกาดมาบ้างหรือไม่”
นางกีสาโคตมีกราบทูลตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ หม่อมฉันหาเมล็ดผักกาดไม่ได้ตามพระพุทธประสงค์ เพราะในบ้านหลังหนึ่ง ๆ มีคนตายมากกว่าคนเป็นอยู่ หม่อมฉันเลิกหาเมล็ดผักกาดแล้ว แต่ขอพระองค์ทรงพระกรุณาประทานที่พึ่งแก่หม่อมฉันด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนกีสาโคตมี เธอเข้าใจว่าบุตรของเราเท่านั้นตายแล้ว แต่ความตายนั้นเป็นธรรมเที่ยงแท้สำหรับสรรพสัตว์ เพราะว่ามัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งปวง ผู้มีอัธยาศัยยังไม่พอความประสงค์ ซัดลงไปในสมุทร คือ “อุบาย” ประดุจห้วงน้ำใหญ่พัดพาเอาสัตว์ทั้งหลายไปฉะนั้น” เมื่อนาง กีสาโคตมีฟังธรรมจากพระองค์แล้ว เกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ขั้นโสดาปัตติผล พร้อม ๆกับบุคคลอื่นที่นั่งฟังพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงเทศนาแก่นาง กีสาโคตมีด้วย แล้วนางกีสาโคตมีจึงทูลขอบรรพชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า และต่อมาได้ปฏิบัติธรรมจนบรรลุถึงขั้นพระอรหันต์
ลองมาพิจารณาวิธีการจัดการเรียนรู้ของพระองค์ที่ทรงนำใช้ต่อพระกีสาโคตมีเถรี ก็จะเห็นว่า
1. พระองค์ทรงใช้สื่อจากเงื่อนไขหรือ “ปัญหาชีวิต” ของผู้เรียนเป็นสถานการณ์ในการเรียนของผู้เรียนเอง การที่นางกีสาโคตมี มีความเศร้าโศกเสียใจต่อการตายของบุตรชาย และเนื่องจากนางไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับการตายมาก่อนนั้น เป็นตัวอวิชชา คือความไม่รู้ที่ส่งผลให้นางเกิดอุปาทาน คือคิดว่า บุตรของตนต้องไม่ตาย ทำไมความตายต้องมาเกิดแก่บุตรของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น ทำไมบุตรคนอื่นไม่ตาย นี่คือผลที่เกิดจากการไม่รู้จักความตายของนาง พระพุทธองค์ทรงรู้สิ่งนี้ดีจึงทรงใช้วิธีการแบบ หนามยอกเอาหนามบ่ง “เมื่อไม่รู้จักความตายก็ให้ไปรู้จักความตาย” อันเป็นการออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียนเฉพาะรายในรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล
2. พระองค์ทรงจัดการเรียนรู้แบบผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเอง การที่พระองค์ทรงชี้ทางให้นางกีสาโคตมี เดินเข้าไปถามหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดในพระนครตั้งแต่หัวบ้านจดท้ายบ้าน ด้วยเงื่อนไขว่าต้องเป็นบ้านที่ไม่มีคนเคยตายมาก่อนนั้น จากบ้านหนึ่งไปสู่อีกบ้านหนึ่งและอีกบ้านหนึ่งปรากฏว่า นาง กีสาโคตมีได้รับคำตอบแบบเดียวกัน คือ คนที่ตายไปแล้วในบ้านนี้มีมากกว่าคนที่เหลืออยู่ นั่นคือเป็นการตอกย้ำให้นางกีสาโคตมีรู้ว่า ไม่เฉพาะลูกของเธอเท่านั้นที่ต้องตาย ลูกคนอื่นและคน อื่น ๆ ก็ได้ตายมาแล้วมากมาย นางฟังครั้งแล้วครั้งเล่า ข้อมูลเล็ก ๆ ก็ค่อยสั่งสมเป็นข้อมูลใหญ่ขึ้น ๆ จนกลายเป็นตัวความรู้ที่ตกผลึกให้นางคิดได้ว่า “เราเข้าใจว่าตายแต่บุตรของเราเท่านั้น แท้จริงคนตายมีมากกว่าคนเป็นที่อยู่ในบ้านทั้งสิ้น” นี่คือความคิดรวบยอดขั้นต้นที่ต่อมาก็กลายเป็น ความคิดรวบยอดแบบหลักการขึ้นมาตรงที่นางกล่าวว่า “ความตายมิได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะกับลูกของแม่เท่านั้น มรณธรรมนี้เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทั่วไปกับมหาชน” ประสบการณ์สั่งสมที่นางได้รับรู้จากการฟัง (สุตมยปัญญา) เกี่ยวกับเรื่องความตายจากผู้คนที่นางไปขอเมล็ดพันธุ์ผักกาด ก่อให้นางเกิดจินตมยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา ขึ้นมาได้เพราะนางนำมาครุ่นคิด ใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่า จากการได้ผัสสะ คำตอบซ้ำ ๆ เหล่านั้น จิตของนางก็น้อมนำเข้าสู่การโยนิโสมนสิการ อารมณ์โศกเศร้าที่รุนแรงก็ลดลง ๆ จนในที่สุดจิตก็อ่อนโยน เห็นความจริงตามความเป็นจริง นางจึงยอมรับความจริงได้จนสามารถกราบทูลต่อพระพุทธองค์ได้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ หม่อมฉันหาเมล็ดผักกาดไม่ได้ตามพระพุทธประสงค์ เพราะในบ้านหลังหนึ่ง ๆ มีคนตายมากกว่าคนเป็นอยู่ หม่อมฉันเลิกหาเมล็ดผักกาดแล้ว...” นี่คือธรรมที่นางเห็น นี่คือความรู้ที่นางค้นพบได้ด้วยตนเอง นี่คือความรู้ที่ฝังแผ่นอยู่ในใจนาง นี่คือทางที่ส่งผลให้นางได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นโสดาบันในที่สุด
3. พระองค์ทรงจัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ในชุมชน จะเห็นได้ว่า เงื่อนไขหรือปัญหาหรือสื่อที่พระองค์ทรงจัดให้นางกีสาโคตมีได้ปะทะหรือผจญนั้นอยู่ในชุมชน ซึ่งบทเรียนของนางกีสาโคตมีต้องเรียนรู้ในชุมชน ต้องเรียนรู้นอกห้องเรียนสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ต้องเรียนรู้แบบ Out door Education นางต้องเก็บข้อมูลจากภูมิปัญญาท้องถิ่น จากผู้รู้ในชุมชน จากคนหนึ่ง บ้านหลังหนึ่ง สู่อีกคนอีกบ้านและอีกบ้านจนข้อมูลนั้นค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ จนสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการคิดของนางได้ นางจึงยอมรับความจริงในความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นจริงได้
4. พระองค์ทรงสร้างความพร้อม ให้เกิดแก่ผู้เรียนก่อนเรียน โดยใช้แรงจูงใจเป็นตัวกระตุ้น จะเห็นได้เมื่อนางกีสาโคตมีเข้าเฝ้าพระองค์ ๆ ทรงใช้คำนิ่มนวล อ่อนหวานตรัสในเชิง เข้าใจ เห็นใจ และปลอบใจ ด้วยคำตรัสสั้น ๆ แต่มีพลังและมีความหมายต่อนางกีสาโคตมีว่า “ดูก่อนกีสาโคตมี ตถาคตรู้จัก” คิดดูเถิดคนที่ผิดหวังมาจากคนหมู่มากที่ตอบปฏิเสธนางมาตลอดว่า “ไม่มี” “ไม่รู้จัก” พอได้ยินว่ารู้จักจะเป็นอย่างไร ลอกนึกถึงจิตใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกชายน่ารัก แล้วต้องตายจากไป พอจะได้ยาชุบชีวิตจะรู้สึกอย่างไร นี่คือแรงจูงใจที่วิเศษที่สุด สูงค่ามากที่สุดที่นางกีสาโคตมีได้รับ ทำให้นางต้องดั้นด้นไปเรียนรู้ความจริงในพระนครจนพบความรู้ที่แท้จริง คือความรู้ที่นางสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาของนางได้ หรือสามารถดับทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่นางได้จริง เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อผู้เรียน
5. พระองค์ทรงให้โอกาสพิเศษแก่ผู้เรียนที่มีปัญหาทางการเรียน ตรงนี้คงจะเข้าใจตรงกันว่า ในสำนักของพระพุทธเจ้านั้นจะมีอุบาสกอุบาสิกามากมายนับร้อย ๆ คน มีทั้งพระราชา ข้าราชบริพาร และชาวบ้านหลากหลายไปคอยฟังพระธรรมเทศนา และกราบทูลถามปัญหาต่าง ๆ แต่เมื่อนางกีสาโคตมีเข้าไปหาพระองค์ทรงทราบด้วยญาณจึงทรงให้โอกาสแก่นางกีสาโคตมีเป็นพิเศษ พูดง่าย ๆ ว่า “ลัดคิวให้” แบบให้โอกาสเป็นการเรียนรู้รายบุคคล แต่ทว่าเมื่อนางกีสาโคตมีกลับจากไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดในพระนครแล้วเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยจิตทีสงบและเริ่มมองเห็นธรรมแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้นางเข้ากลุ่มโดยทรงพระกรุณาเทศนาธรรมสั่งสอนนางกีสาโคตมีเองและสั่งสอนคนอื่น ๆ ไปในพระธรรมเทศนานั้นด้วย ส่งผลให้มีผู้บรรลุโสดาปัตติผลพร้อม ๆ กับนางกีสาโคตมีมากมายในที่ประชุมนั้น นั่นคือ กลวิธีสอนหรือนวัตกรรม ( Innovation) อย่างหนึ่งของพระตถาคต
https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น