เรื่องประเทศอังกฤษกับการเข้าร่วมสภาพยุโรป
ตอนแรกที่สภาพยุโรปยังเป็นประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) และมี 6 ประเทศก่อตั้ง (The Inner Six) คือ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี ประเทศอิตาลี และกลุ่มประเทศ BENELUX (เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก) ท่าทีของอังกฤษต่อประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในตอนแรกเหมือนจะสับสนและลังเล เลยได้เข้าร่วมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า The Outer Seven ก่อตั้ง EFTA ขึ้นมาในปี 1959 ไม่นานหลังจากที่มีประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เจ็ดประเทศดังกล่าวคือ ประเทศออสเตรีย ประเทศเดนมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ ประเทศโปรตุเกส ประเทศสวีเดน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
ต่อมาในปี 1963 สหราชอาณาจักรสมัครเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรปแต่ก็ถูกประเทศฝรั่งเศส veto ในการเข้าเป็นสมาชิกเพราะเหตุผลทางการเมือง (บ้างก็ว่าเป็นเพราะประเทศอังกฤษจะนำพาประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามามีส่วนร่วมในยุโรป บ้างก็ว่าเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส (ที่ไม่ค่อยถูกกัน) และกรณีเรื่องภาษาหลักที่จะใช้ในประชาคม) จนกระทั่งสหราชอาณาจักรส่งใบสมัครเป็นครั้งที่สาม (สิบปีผ่านไป) และมีการพูดคุยเจรจาระหว่างประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสกับนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ทำให้การสมัครครั้งนี้ผ่านในปี 1973 นี่เลยเป็นอีกเหตุที่ทำให้เข้าร่วมประชาคมล่าช้า
ความแตกต่างของประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
(EEC) กับ EFTA ก็คือ EEC
นั้นมีการเก็บภาษีศุลกากรจากภายนอกประชาคมเท่ากัน
ประเทศที่ต้องการเป็นสมาชิกต้องลดหรือกำจัดกำแพงภาษีในก่อนที่จะเข้าร่วม
EEC ได้ แต่กรณี EFTA
สมาชิกจะตั้งภาษีศุลการจากภายนอกเท่าไรก็ได้
แต่ละประเทศไม่จำต้องเหมือนกัน
แต่หลังจากที่ประเทศอังกฤษและเดนมาร์กเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
ก็ทำให้ EFTA สั่นคลอน ฉะนั้น EFTA
จึงเหลือสมาชิกแค่สี่ประเทศคือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ประเทศนอร์เวย์ ประเทศลิกเตนสไตน์
และประเทศไอซ์แลนด์
การที่สหราชอาณาจักรเข้าร่วมประชาคมนั้นก็เนื่องจาก เหตุผลหลักคือประเทศอังกฤษขาดความเชื่อมั่นในประเทศตัวเองอย่างหนักเนื่องจากเสียจักรวรรดิไป และหลักจากเห็นกลุ่ม Inner six สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเชื่อมั่นว่าการเข้าร่วมจะนำความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งมาสู่ประเทศ รวมไปถึงการส่งผ่านความรู้และข้อมูลต่างๆในทุกๆด้าน ไม่ใช่แค่ในแง่ของธุรกิจการค้า และทำให้ประเทศมีประสิทธิภาพและเพิ่มการแข่งขันในตลาดไม่ใช่แค่ในประชาคม แต่รวมไปถึงตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ตามแม้ประเทศอังกฤษจะเข้าร่วมประชาคมแต่ก็ opt-out การใช้เงินสกุลยูโร เพราะต้องการมีความเป็นอิสระของค่าเงินของตัวเอง, opt-out เรื่องความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อย, opt-out ไม่เข้าร่วมกฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐาน และ ไม่เข้าร่วม Schengen Agreement
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่าง EU และประเทศอังกฤษสั่นคลอน คือกรณีที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษปกป้องผลประโยชน์ของประเทศโดยการปฏิเสธสนธิสัญญาใหม่ของสหภาพในกรณีแผนการช่วยเหลือ EU ในกรณีวิกฤติทางการเงินของ eurozone ที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ค่าเงินเดียว และในฐานะที่เป็นประเทศหนึ่งที่สมทบทุนช่วยเหลือกองทุน IMF ประเทศอังกฤษเห็นว่ากองทุนนี้ควรไว้ใช้ช่วยเหลือภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยยุโรปอย่างเดียว โดยที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษยืนยันว่าประเทศอังกฤษจะไม่ออกจากสหภพยุโรปหากว่าการเป็นสมาชิกยังเป็นประโยชน์และมีส่วนได้เสียต่อประเทศอยู่ และการออกจากการเป็นสมาชิกไม่ใช่ความมุ่งหวังของประเทศ จากกรณีดังกล่าว สื่อจากหลากหลายประเทศในยุโรปต่างพาดหัวข่าวจู่โจมประเทศอังกฤษกรณีไม่ให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือวิกฤติการเงินยูโร ทำให้ขณะนี้อังกฤษเหมือนโดดเดี่ยวใน EU แต่ก็ไม่ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิก
ไม่มีความเห็น