คิดให้รอบ
ถ้าหากครูผู้สอนมองเห็นว่า ผู้เรียนสามารถแสดงความคิดโดยใช้ภาพความคิดแบบใดแบบหนึ่งได้หรือสามารถนำแผนภาพความคิดทั้ง 8 แบบนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ตามต้องการแล้ว ผู้สอนควรที่จะใช้คำถามถามผู้เรียนบ่อย ๆ ให้ผู้เรียนตอบคำถาม โดยแสดงความคิดแบบมีภาพความคิดมาประกอบการตอบคำถาม ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลคำตอบมีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ อีกอย่างหนึ่งการคิดแบบใช้ภาพความคิดประกอบการคิดจะช่วยให้ผู้คิดมองเห็นความเชื่อมโยงต่อเนื่องของข้อมูลคำตอบว่า สิ่งนี้มีความสัมพันธ์กับสิ่งนี้ “เพราะสิ่งนี้สัมพันธ์กับสิ่งนี้จึงเกิดแก้ว เป็นชื่อเฉพาะเจาะจงชัดเจนเป็นวิสามานยาม ภาพความคิดแบบผังมโนทัศน์จะช่วยอธิบายให้เห็นความต่างตรงนี้ได้
ข้อนี้แน่นอนว่าผู้ตอบสามารถนำ Mind Mapping หรือ แมงมุม มาเขียนเป็นภาพแสดงความคิดให้เห็นได้ ดั่งข้อ 1
แต่ยังมีคำถามที่ผู้ตอบจะต้องตอบแบบเจาะจงเป็นด้านๆ เพื่อให้ครอบคลุมคำถามที่ต้องการคือ
คำถามข้อนี้ ผู้เรียนสามารถนำแผนภาพความคิดแบบหนึ่งแบบใดมาใช้ลากเส้นสายความคิดได้ไม่ว่าจะเป็น แบบแมงมุม หรือ Mind Mapping หรือ แบบผังมโนทัศน์ แต่ทว่ายังมีแผนภาพความคิดอีกแบบหนึ่งที่สามารถนำเสนอภาพความคิดได้ตรงจุด นั่นคือ แผนภาพความคิดแบบโมเดลว่าว หรือ Kite Model ซึ่งเป็นการออกแบบแผนภาพความคิดที่ผู้เรียนสามารถคิดเชิงวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดในชุมชนได้อย่างดี โดยมีรูปแบบง่าย ๆ ดังนี้
การเรียนรู้ของวิชาการเรื่องนั้น ๆ งานเขียนเล่มหนึ่ง ๆ เป็นการบรรจุความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนลงไปในผลงานเล่ม นั้น ๆ ที่ผู้ประเมินจะมองเห็นภาพของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ได้ เช่น
- ความตั้งใจทำงาน ผลงานดีมากน้อยเพียงใด (รูปเล่ม ลายมือ ภาพ ความสะอาดของงาน การตรงต่อเวลาในการส่งงาน)
- ความรู้ความเข้าใจ สาระเนื้อหาที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวให้อ่านมีความชัดเจน ถูกต้องมากน้อยเพียงใด
- การศึกษาค้นคว้าอ้างอิง ตรงนี้สำคัญมากผู้ใฝ่ใจเรียนรู้จะค้นหาความรู้มาอ้างอิงจากหลากหลายแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ของตนเอง
- ความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เช่น การวาดภาพประกอบ การเข้ารูปเล่มงานการเขียน บทกวีประกอบการบรรยาย และหรือการแต่งเพลง การเขียนบทลิเก มโนราห์ หนังตะลุง ประกอบการบรรยาย ซึ่งความสามารถเหล่านี้ มีเฉพาะแต่ละคนและคนละด้าน
การตั้งคำถามนำของผู้สอนให้ผู้เรียนคิดนั้น ผู้สอนสามารถนำประเด็นต่าง ๆ จากบทเรียนที่ต้องการให้ผู้เรียนรู้ โดยที่มีการเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า เช่น
คำถามอย่างนี้ผู้เรียนจะต้องค้นหา คำตอบจากวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี โดยวิธีการอ่านอย่างหยาบ ๆ เพื่อหาคำตอบเฉพาะเรื่อง สิ่งที่ผู้เรียนจะได้คือ วิธีการอ่านหนังสืออย่างหยาบ วิธีการอ่านเพื่อเก็บประเด็นความเฉพาะเรื่องที่ต้องการ ซึ่งผู้อ่านจะไม่รู้รายละเอียดของเรื่องทั้งหมด แต่จะรู้เรื่องเฉพาะเรื่องที่ต้องการคำตอบเท่านั้น แต่ถ้าเติมประเด็นคำถามต่อท้ายอีกว่า “มีประเด็นใดอ้างอิงคำตอบ” ผู้เรียนก็จะต้องเจาะลึกถึงประเด็นนั้นในแต่ละครั้งของการอ่าน เพื่อจะนำประโยคหรือประเด็นที่เป็นหลักฐานอ้างอิงคำตอบ มาตอบคำถามจะเห็นได้ว่า จำนวนครั้งของการเป่าปี่ของพระอภัยมณี เป็นเพียง ตัวล่อ ให้ผู้เรียนเรียนรู้เทคนิควิธีการอ่านหนังสืออย่างหยาบเท่านั้น
ถ้าต้องการให้ผู้เรียนอ่านแบบเจาะลึกลงไปอีก เป็นการอ่านจับประเด็นที่ละเอียดกว่าเดิมนั้น ผู้สอนน่าจะตั้งคำถามแบบ
2) ลำดับญาติของตัวละครในเรื่อง พระอภัยมณี มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไรบ้าง
ผู้เรียนจะค้นพบคำตอบได้ต้องอ่านเรื่องพระอภัยมณีแบบละเอียดยิ่งขึ้น ต้องถอดความหาความเชื่อมโยงระหว่างตัวละครแต่ละตัวมาลำดับเชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้เห็น
มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าผู้เรียนเข้าถึงแผนภาพความคิดจะสามารถนำแผนภาพความคิดมาใช้ได้ตรงตามหน้าที่ของแผนภาพนั้น ๆ รูปแบบการนำแผนภาพความคิดมาตอบคำถามข้อที่ 1 จะต่างไปจากข้อที่ 2 โดยข้อ 1 อาจจะนำแผนภาพแบบแมงมุม หรือ Mind Mapping มาเป็นเครื่องช่วยในการนำเสนอคำตอบ ส่วนข้อ 2 นั้น น่าจะใช้แผนภาพแบบผังมโนทัศน์ เหมือนกับคำถามข้อ 3 ที่ถามว่า
3. คำว่า อบจ กับ อบต นาหม่อม มีความแตกต่างและ
เชื่อมโยงกันอย่างไรในรูปแบบ “ชนิดของคำนาม”
จงยกตัวอย่างคำอื่น ๆ มาประกอบคำตอบเพื่อความ
ชัดเจนด้วย
คำตอบข้อ 2 และ 3 ต้องแสดงภาพให้เห็นความชัดเจนในเชิงคล้าย ๆ คำอธิบายแต่ไม่ต้องอธิบายอย่างละเอียด แต่นำชื่อตัวละครหรือคำตัวอย่างมาแสดงให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ก็จะเกิดภาพให้เห็นในเชิงลึกได้ว่า ถ้าเป็นคำใหญ่ ๆ ที่แสดงเป็นกลุ่ม เป็นคน เป็นสถานที่ ไม่ระบุชื่อชัดเจนก็จะเป็นคำ สามานยนาม แต่ถ้าคำกลุ่มคำนั้นชี้จุดละเอียดย่อยลงไปเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าเป็นสิ่งนั้น ๆ ไม่ใช่สิ่งอื่นแล้ว ก็จะเป็นคำ วิสามานยนาม เช่น คน เป็นสามานยนาม แต่ แดง สกุล
นโยบายการค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ การส่งเสริมการลงทุน / การผลิต การตลาด การธนาคาร
3) สังคม วัฒนธรรม จริยธรรม เกี่ยวกับค่านิยมทางศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม การศึกษา ภูมิปัญญาชาวบ้าน ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ องค์กรทางสังคม การกระจายทรัพยากร (การถือครองที่ดิน) การดำรงตำแหน่ง
4) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ / ชีวภาพ หน้าที่การงาน ระบบของสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับดิน พืชพรรณ ภูมิอากาศ น้ำ โรคภัยไข้เจ็บ ลักษณะทางกายภาพของเมือง
การคิดของผู้เรียน เริ่มต้นก็มักจะคิดในแวดวงใกล้ตัว กรณี ยาบ้า นั้น ผลกระทบด้านการปกครอง ถ้าคิดใกล้ ๆ ตัวก็คือ ผู้เสพยาจะสิ้นเปลืองเงิน นี่เป็นหลักการว่า ผู้เสพยาบ้าจะเป็นผู้มีปัญหาในตนเอง สิ่งที่สัมพันธ์กันคือ ครอบครัว วุ่นวาย มีปัญหาในครอบครัว โยงใยสัมพันธ์สู่ชุมชน จังหวัด ประเทศ ที่มีปัญหาอันเกิดมาจากยาบ้าด้วย
ถ้าเขียนเป็นภาพจะเห็นภาพการขยายวงความคิด จากเรื่องใกล้ตัวสู่ความเป็นสากล
การปกครอง
สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ
จริยธรรม
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ / ชีวภาพ
(ดูรูปใน https://sites.google.com/site/chatreesamran/hnangsux/-doc-13 ครับ)
แผนภาพความคิดอย่างนี้เหมาะที่ผู้เรียนจะนำมาใช้กับการวิเคราะห์ปัญหาสังคมมาก และบทเรียนหรือคำถามอย่างข้อ 5 นี้ ผู้สอนควรนำมาใช้สอนบ่อย ๆ โดยหยิบยกปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดในชุมชนในท้องถิ่นหรือในบ้านเมืองมาให้ผู้เรียนร่วมกันคิดวิเคราะห์ เมื่อได้ประเด็นคำตอบแล้วนำมาขยายความให้เป็นเรื่องราวเรียบเรียงเขียนเป็นเล่ม พร้อมกับสรุปให้ได้ใจความกะทัดรัดในรูปแบบความคิดรวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์ ซึ่งจะเป็นตำราเรียนที่ผู้เรียนเป็นผู้จัดสร้างขึ้นมาเอง นี่คือการเรียนแบบผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองอีกวิธีหนึ่ง
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น