ตนคือครูของตน
ถ้าจะถามว่า “เวลาคิดนั้นผู้เรียนไม่ต้องสร้างแผนภาพที่คิดขึ้นมาได้ไหม” ขอตอบว่า ได้ เพราะในความเป็นจริงนั้น ยังมีคนส่วนใหญ่คิดในใจ ไม่ได้ขีดเขียนเป็นแผนภาพดังที่ได้เสนอมาทั้ง 7 รูปแบบตามตัวอย่างในบทที่ผ่านมา แต่ทว่าที่ต้องการให้ผู้เรียนคิดแล้วขีดเขียนเป็นเส้นสายแผนภาพ (ประกอบ) ความคิด นั้นก็เพื่อให้ผู้เรียนฝึกสร้างระบบการคิด จะได้ไม่คิดแบบสะเปะสะปะ ไม่คิดแบบต่อเนื่องแต่เป็นการคิดเรื่องนี้สักนิดเรื่องนั้นสักหน่อย ส่งผลให้เป็นคนทำนี่ไม่ทันเสร็จก็ทำสิ่งโน้นต่ออีก เลยไม่ปรากฏผลงานที่เสร็จเรียบร้อยได้
คำนาม |
สามานยนาม |
วิสามานยนาม |
ลักษณะนาม
วิสามานยนาม
คำนาม นยนาม
|
1. เด็กนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ |
1. เด็กชายมนัส นั่งอยู่ ใต้ต้นไทรย้อย |
1. เด็กชาย 1 คน นั่งอยู่ ใต้ต้นไม้ 1 ต้น |
2. วัว ยืนกินหญ้า |
2. วัวสีแดงยืนกินหญ้าใบพาย |
2. วัวสีแดง 1 ตัวยืนกินหญ้า 1 ฟ้อน |
3. บ้านของเพื่อนสีสวย |
3. บ้านบังกาโลของปรานีสีสวย |
3. บ้านบังกาโล 1 หลังของปรานีสีสวย |
4. ปากกาอยู่บนโต๊ะ |
4. ปากกาสีดำอยู่บนโต๊ะ |
4. ปากกาสีดำ 1 ตัว วางอยู่บนโต๊ะ1ตัว |
(ดูภาพประกอบที่https://sites.google.com/site/chatreesamran/hnangsux/-doc-13ครับ)
ภาพประกอบหมายเลข 8
กล่าวมาทั้งหมดนี้คือ สิ่งที่แฝงอยู่ในการฝึกฝนให้ผู้เรียนคิดด้วยวิธีการสร้างภาพความคิดดังที่ได้เสนอมาตามลำดับ
จากประสบการณ์การสอนที่ผ่านมาเคยเห็นผู้เรียนบางคนใจร้อน ต้องการทำงานเสร็จเร็ว ๆ พอให้คิดงานด้วยการสร้างภาพความคิด จะรีบเขียนรีบทำพอเขียนผิดก็ลบ ปรากฏผลว่า กว่างานจะเสร็จยางลบสึกกร่อนไปมากและบนโต๊ะเต็มไปด้วยเศษยางลบอยู่รอบ ๆ แผ่นกระดาษ เมื่อถามว่า “ทำไมจึงเป็นอย่างนี้” ถามบ่อย ๆ เพื่อคอยเตือนให้ทำงานช้า ๆ อย่ารีบเขียน คิดก่อนเขียน ใจเย็น ๆ ฝึกนาน ๆ เข้า จนกระทั่งในที่สุด ผลงานของผู้เรียนคนนั้นแทบจะไม่มีรอยเปื้อนยางลบและรอยดินสอที่เขียนผิดอีก ความภูมิใจต่อผลงานที่สะอาด สวยงามและความถูกต้องของเนื้อหาวิชาการ หลังจากที่ได้รับการประเมินตนเองและเพื่อน ๆ ร่วมกันประเมินผลงานให้ ภาพความสำเร็จ ในการสร้างผลงานแต่ละชิ้นจึงเกิดขึ้นในใจของผู้เรียนคนนั้น จึงกล้ากล่าวได้ว่า ในการเรียนที่แท้จริงนั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาทั้งด้านความรู้ความเข้าใจและนิสัยการเรียนรู้สู่ความเป็นผู้มีวินัยในการเรียนรู้ นี่คือการเรียนรู้ที่แท้จริง
การที่ผู้สอนพยายามฝึกฝนให้ผู้เรียนใช้วิธีการคิดแบบเชื่อมโยงต่อเนื่องสัมพันธ์กันดังที่นำเสนอในตัวอย่างแผนภาพความคิดที่ 1-7 นั้น คือการฝึกหัดให้ผู้เรียนมองให้เห็นภาพตลอดแนว จากจุดเริ่มต้นสู่จุดกลางและจุดสุดท้ายของงานชิ้นนั้น แน่นอนว่าแรก ๆ ผู้เรียนจะมองแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นแล้วค่อย ๆ ฝึกคิดต่อ ๆ ไป ( ดังตัวอย่างภาพประกอบหมายเลข 5 ) หากว่าผู้เรียนได้รับการฝึกฝนเพิ่มขึ้น ๆ ผู้เรียนก็จะมองเห็นภาพความคิดของตนขยายวงกว้างออกไปอีก ทั้งนี้ย่อมจะขึ้นอยู่กับการเก็บข้อมูลความรู้ของผู้เรียนเองด้วย นั่นหมายถึงว่า ผู้สอนจะต้องฝึกและคอยชี้แนะให้ผู้เรียนเห็นรายละเอียดของข้อมูลอย่าปล่อยให้ผู้เรียนมองข้ามไป ต้องให้ผู้เรียนเก็บข้อมูลต่าง ๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วน ต้องคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นถึงความสำคัญของข้อมูลที่ปรากฏว่าจะช่วยในด้านขยายวงความคิดได้อย่างไรบ้าง ความพีถีพิถันต่อการเก็บข้อมูลความรู้ เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่ผู้เรียนพึงมี เพราะนี่คือเครื่องมือของการคิดที่สำคัญ
วิธีการสอนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงผู้สอนนำข่าวหรือเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดที่อยู่ใกล้ตัวผู้เรียนนั่นแหละมาให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ต่อเนื่องด้วยวิธีการใช้แผนภาพความคิดแบบหนึ่งแบบใดที่ตนถนัด เขียนเป็นภาพให้เห็น นำผลงานมาเปรียบเทียบกัน ใครคิดได้ละเอียด แตกกิ่งแตกก้านสาขาออกได้มากกว่าก็ให้นำเสนอวิธีการดำเนินการให้เพื่อน ๆ ได้ร่วมกันเรียนรู้ด้วย ทำบ่อย ๆ ก็จะพัฒนาวิธีการดำเนินการเรียนรู้ในเรื่องวิธีการเก็บข้อมูลได้
การนำเหตุการณ์ที่ใกล้ตัวผู้เรียนมาให้ผู้เรียนฝึกคิดจะช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นภาพความคิดที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงได้ดีกว่าการนำเรื่องไกลตัวผู้เรียนมาสอน ยิ่งเหตุการณ์นั้นผู้เรียนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยก็จะสอนได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเขาเห็นภาพเหล่านั้นตลอดแนว ความคิดก็จะเด่นชัดขึ้นจะเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
การสอนให้คิดด้วยรูปแบบผังมโนทัศน์ ( A Concept Map) เป็นรูปแบบการคิดอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้แล้วกระจ่างในเรื่องที่เรียน เพราะสามารถแยกแยะรายละเอียดของสิ่งที่เรียนให้เห็นได้ชัดเจน เช่น ในเรื่องคำนามนั้น ถ้าผู้เรียนเรียนรู้ในรูปแบบ Mind Mapping แล้วต้องการจะให้ผู้เรียนรู้ลึกลงไปอีก ก็สามารถนำมาวิเคราะห์เจาะลึกเพิ่มเติมในรูปแบบผังมโนทัศน์ได้แบบนี้
สิ่งนี้ขึ้น ถ้าสิ่งนี้ไม่สัมพันธ์กับสิ่งนี้ สิ่งนี้มีจะไม่เกิดขึ้น” นั่นคือ ความเป็นเหตุเป็นผลจะเด่นชัดในข้อมูลคำตอบ
อีกอย่างหนึ่งภาพความคิดที่ผู้เรียนแสดงให้เห็นนั้น เมื่อเขียนในกระดาษคำตอบจะช่วยให้ผู้สอนเห็นกระบวนการคิดของผู้คิดไว้ดีกว่าการตอบแบบไม่มีภาพความคิด
เมื่อมาถึงตรงนี้ใคร่ที่จะเสริมถึงการตอบคำถามของผู้เรียนว่า ทุกคำถามที่ผู้เรียนสืบค้นข้อมูลมาตอบนั้น ถ้าหากผู้เรียนสามารถเขียนอธิบายความได้ยาว ๆ มีความชัดเจน ถูกต้อง มีการแสดงภาพความคิด แล้วใคร่จะเพิ่มเติมให้ผู้เรียนสรุปความคิดทั้งหมดเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ได้ใจความชัดเจน ในรูปแบบความคิดรวบยอด หลักการและความสัมพันธ์ ด้วย เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องนั้น ๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น แล้วให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มาทั้งหมดจัดทำเป็นรูปเล่มแบบหนังสือเล่มเล็ก ผลงานนี้ผู้เรียนสามารถเก็บไว้ศึกษาทบทวนในคราวต่อไปได้และจะเป็นตำราเรียนที่ผู้เรียนเป็นผู้เขียน อีกทั้งจะเป็นผลงานการเรียนรู้ที่สามารถนำไปประกอบการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงได้อีกด้วย
การที่ผู้เรียนสร้างงานในรูปแบบตำราเรียนที่ผู้เรียนเป็นผู้เขียนนั้น จะปรากฏภาพการบูรณาการเรียนรู้ที่ชัดเจน ทั้งด้านศิลปศึกษา ทั้งด้านงานฝีมือ ความถนัดส่วนตน ทั้งด้านสาระ
ถ้าผู้เรียนสามารถคิดสร้างภาพสิ่งที่ตนอยากรู้ได้แบบนี้ก็จะช่วยให้ผู้เรียนสรุปบทเรียนเป็นความคิดรวบยอดหรือมโนทัศน์ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้าผู้เรียนสร้างภาพเชื่อมโยงต่อเนื่องมาจากภาพความคิดตั้งแต่ภาพที่ 5 เป็นต้นมา ผู้เรียนจะสามารถลงรายละเอียดของข้อมูลได้ละเอียดสัมพันธ์กันแบบ ค่อย ๆ เพิ่มความรู้ขึ้นทีละนิด ๆ จนในที่สุดก็จะมองเห็นภาพของคำนามได้ชัดเจน มาถึงตรงนี้ผู้เรียนจะเกิดความคิดรวบยอดในใจว่าคำนามแต่ละชนิดเป็นแบบนี้เอง
มาถึงตรงนี้ใคร่ที่จะขอเน้นว่า ครูผู้สอนนั่นแหละควรที่จะชี้แนะและหรือถามกระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความต่างระหว่างคำสามานยนามกับวิสามานยนาม การเน้นย้ำซ้ำถามบ่อย ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนคิดได้ว่า คำแบบใดเป็นสามานยนาม คำแบบใดเป็น วิสามานยนาม เช่น
- “วัว ยืนกินหญ้า กับ ไอ้ลางสาดยืนกินหญ้า ต่างกันอย่างไร”
- “ทำไมไอ้ลางสาดเป็นวัวเหมือนกันเป็น วิสามานยนาม ส่วนวัวที่เป็นคำเรียกตรง ๆ ทำไมจึงเป็นสามานยนาม”
- “คำว่า พ่อ เราจะแปรคำอย่างไรจึงจะเป็น
วิสามานยนาม
- “คำว่า “ลุงแดง พ่อของดำนั่งอยู่ใต้ต้นไม้” เราจะแปรคำอย่างไรจึงจะเป็นคำสามานยนาม”
- “คำว่าวัวกับไอ้ลางสาดคำใดเป็นคำสามานยนาม คำใดเป็นคำวิสามานยนาม ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น”
การถามให้คิดจนมองเห็นได้ด้วยตนเองว่า “คำสามานยนามต่างจากคำวิสามานยนามเพราะเหตุใด” ได้แล้ว ผู้เรียนจะสังเกตต่อไปได้ว่า “คำลักษณะนามต่างไปจากคำอาการนามแบบใด” เพราะผู้เรียนเข้าใจวิธีการเรียนรู้แล้วจึงสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ การสอนที่เกิดผลสัมฤทธิ์อยู่ตรงที่ผู้เรียนสามารถตั้งคำถาม ถามหาคำตอบได้ด้วยตนเอง และรักที่จะถามหาคำตอบได้ด้วยตนเอง นี่คือการสอนให้ตนเป็นครูของตน
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น