โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome: AIDS)
คือ โรคกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดจากเชื้อไวรัส HIV ที่มีความ จำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวชนิด CD4-T Lymphocyte & Monocyte เชื้อไวรัส HIV เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นตัวสร้างระบบภูมิคุ้มกันภาย ในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลงเป็นผลให้เป็นโรคติดเชื้อต่างๆได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการมักรุนแรง เรื้อรัง และเสียชีวิตในที่สุด
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แบ่งรับดับของโรคออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
ระดับที่1 คือ ระยะติดเชื้อHIV ไม่มีอาการ ไม่จัดเป็นโรคเอดส์
ระดับที่2 คือ มีอาการน้อย
ระดับที่3 คือ มีอาการโรคเอดส์
ระดับที่4 คือ มีอาการรุนแรง
การรักษา ใช้เคมีบำบัด ยาต้านไวรัส และป้องกันรักษาภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
การป้องกัน ได้แก่
คนที่ติดเชื้อHIV สามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวและสังคมได้ สามารถทำงานได้เหมือนคนทั่วไป เพราะเชื้อ HIV ไม่ได้ติดต่อกันโดยการสัมผัส การกอดจูบ การรับประทานอาหาร (แต่ถ้ามีแผลภายในช่องปากหรือทางเข้าของเชื้อไวรัส ก็อาจไม่ปลอดภัย100%) ไม่ต้องแยกห้องนอน ห้องทำงาน
บทบาทของนักกิจกรรมบำบัด
จากกรณีศึกษา : นาย ก เป็นโรคเอดส์ อายุ 35 ปี มีอาชีพประจำคือเป็นนักร้องที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีงานอดิเรกคือชมคอนเสิร์ต ร้องเพลง เล่นดนตรี เล่นกีฬาฟุตบอลกับเพื่อนๆ เป็นต้น เขาแต่งงานแล้วมีลูกอายุ 6 ขวบหนึ่งคน จากการที่เป็นโรคเอดส์นาย ก เกิดความละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าใคร ไม่กล้าเข้าสังคม ไม่รู้จะปฏิบัติตนอย่างไรจึงได้แต่วิตกกังวล ทำให้เครียด และรู้สึกอ่อนล้าทางจิตใจและร่างกาย ขาดความมั่นใจในในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเป้าหมายในชีวิต รวมถึงคิดว่าตนเองไม่มีคุณค่าที่จะใช้ชีวิตต่อไป ไม่อยากทำกิจกรรมอะไรเลยในแต่ละวัน มีความคิดโทษตนเองและอยากย้อนเวลากลับไปช่วงที่ยังปกติ
ในการประเมินหากใช้กรอบอ้างอิง PEOP ในการวิเคราะห์นาย ก ในสุขภาพโดยเฉพาะด้านจิตสังคมที่กำลังส่งผลให้ไม่มีแรงจูงใจในการกิจกรรมการดำเนินชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ การทำกิจกรรมยามว่างหรืองานอดิเรกหายไป ทั้งที่ความสามารถในทำงานการร้องเพลง กิจกรรมยามว่างในการเล่นดนตรี การเช้าสังคม ของนาย ก ยังสามารถทำได้อยู่
นักกิจกรรมบำบัดจึงมีบทบาทในการเพิ่ม self-esteem และ self-confidence ของเขาให้สูงขึ้น โดยให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอยู่ร่วมของผู้ป่วยโรคเอดส์กับตัวนาย ก เองและคนในครอบครัวของเขา กระตุ้นนาย ก ให้กลับมาทำกิจกรรมการดูแลตนเองทั้งกิจวัตรประจำวัน เรื่องการทานยา เรียนรู้การปรับตัวกับคนในครอบครัว เพื่อน และคนในสังคม อย่างการกลับมาร้องเพลง-เล่นดนตรีในช่วงแรก หากยังไม่พร้อมรวมวงเล่นกับเพื่อนอาจใช้ Social network เป็นช่องทางการสื่อสารเกี่ยวกับดนตรีเพื่อเพิ่มคุณค่าในตัวเองได้ การเล่นฟุตบอลถ้าหากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย ล้าง่าย อาจเล่นเป็นเกมฟุตบอลหรือแค่ก็เตะเล่นเข้าประตูสนุกๆ เป็นต้น ฝึกทักษะการจัดการตนเอง การจัดการความล้า เทคนิคการสงวนพลังงาน การจัดการความเครียด การจัดการเวลา
ไม่มีความเห็น