"มหาเมตตา" มาฆบูชา ๒๕๕๕


วันมาฆปุณมี พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาระลึกนึกถึงว่าเป็นวันแห่งความดี เป็นวันแห่งความเมตตาตนเอง เป็นวันแห่งเมตตาสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เมตตาด้วยการนำโอวาทพระปาฏิโมกข์มาประพฤติมาปฏิบัติ

          วันมาฆบูชา วันมาฆปุณมี เป็นวันที่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย

          พระพุทธเจ้าท่านได้สร้างบารมีอย่างเต็มรอบ หลายอสงไขย ได้ตรัสรู้ ได้เผยแผ่ธรรมะคำสั่งสอนหลังจากที่ท่านตรัสรู้

          ที่พระพุทธเจ้าท่านสร้างบามีได้ก็ด้วยความเมตตา ไม่ใช่เมตตาธรรมดานะ เป็น “มหาเมตตา” เป็นเมตตาที่ถูกที่ถูกต้อง เมตตาที่ทำความดี

Large_tt8061

          พระพุทธเจ้าท่านเริ่มจากนำตัวเองมาทำความดี แล้วก็พาคนอื่นทำความดีด้วย เป็นการทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าเมตตาของคนทั่วไปก็อาจจะขาดปัญญา เพราะบางทีเราทำผิด อย่างสรรพสัตว์ทั้งปวงนี้ เมตตาตนเอง แต่ทำลายคนอื่น ทำลายด้วยทางกาย ทำลายด้วยทางคำพูด ทำลายด้วยทางความคิด เพื่อให้ตนเองสบาย แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่อย่างนี้ ท่านเมตตาตนเองอย่างไรก็เมตตาคนอื่นอย่างนั้น

          ถ้าเราเจริญเมตตามาก ๆ นี้ดีนะ ทำให้เราเป็นคนที่เข้ากับทุก ๆ คนได้... แล้วเราก็ไม่เป็นคนขี้โกรธ ไม่เป็นคนขี้โมโห ถ้าแก้ตรงนี้ได้ก็ไม่เป็นคนที่มีทิฐิมานะมาก ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์

 

          ที่เรามีมันเข้ากับใครไม่ได้ ที่เรามีโลกส่วนตัวเยอะ ๆ ชอบความสงบ อยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ นี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เราเป็นคนเมตตาน้อย         

          ถ้าเรามีเมตตาเยอะ ๆ เราจะอยู่กับคน กับสัตว์ กับสิ่งแวดล้อม อยู่กับสิ่งที่ไม่พึ่งปรารถนาได้ดีนะ

          บางคนบางท่านไม่พอใจในบุตรธิดา ในสามีภรรยา... บางครั้งเขาก็ทำไม่ถูก ทำให้เราขัดใจ ไม่พอใจ มันผ่านมาแล้วห้าปี สิบปี ยี่สิบปี เราก็ชอบเอามาเก็บไว้ เอามาแบกไว้ ไม่ให้อภัย ไม่ตัดเวรตัดกรรม อย่างนี้เราชื่อว่าเป็นคนอาฆาต เป็นคนพยาบาท เป็นคนขาดความเมตตา

          ทุก ๆ คนที่เกิดมาในโลกนี้ก็ล้วนต้องการความรักความเมตตาจากเรา ที่พวกเรามันอยู่ด้วยกันไม่สบาย สาเหตุก็อยู่ที่เป็นผู้ที่มีเมตตาน้อย เมตตาตัวเองมันก็น้อย และเมตตาคนอื่นมันก็น้อยด้วย

          วันมาฆปุณมี พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาระลึกนึกถึงว่าเป็นวันแห่งความดี เป็นวันแห่งความเมตตาตนเอง เป็นวันแห่งเมตตาสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เมตตาด้วยการนำโอวาทพระปาฏิโมกข์มาประพฤติมาปฏิบัติ...

Large_tonkla036

          “การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตใจของตนเองให้ขาวรอบ สะอาดผ่องใส” มาประพฤติปฏิบัติ ชื่อว่าอันไหนมันเป็นบาป เราไม่คิด ไม่ทำ ไม่พูด เราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตาตนเองอย่างแท้ ๆ และเป็นผู้เมตตาต่อคนอื่นจริง ๆ ทำแต่บุญแต่กุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตใจของเราให้สบาย ฝึกปล่อยฝึกวาง เราทำดีก็ไม่ต้องไปติดดี สิ่งไหนไม่ดีเราก็ไม่ทำอยู่แล้ว เน้นมาหาที่ตัวเรา ที่ใจของเรา ผู้ปฏิบัติดีก็คือตัวเรานี้เอง ผู้ปฏิบัติชอบก็คือตัวเรานี้เอง ผู้ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ก็คือตัวเรานี้เอง ผู้ปฏิบัติควรเคารพกราบไหว้ก็คือตัวเรานี้เอง

          ถ้าเรามีความเมตตา พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็รวมอยู่ที่จิตที่ใจของเรานี้แหละ

 

          ทุก ๆ ท่านทุก ๆ คนเกิดมีกรรมมีเวรเยอะ มันเกิดจากเพราะเราไม่เจริญเมตตา

          มันไปเอาเปรียบผู้อื่น มันไปเอาความสุขในความทุกข์ของคนอื่น ผลกรรมที่ตามมา เราก็ต้องเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดี เป็นคนสุขภาพที่เจ็บที่ไข้ไม่สบาย เป็นคนอายุสั้น เจ็บป่วย เป็นโรคภัยต่าง ๆ นานา เข้ามาประดังประเด เข้ามารุมเร้าก็ล้วนมาจากขาดเมตตา มีเมตตาน้อย ตั้งแต่อดีต เราทำไว้อย่างนี้นะ...

          โลกเรานี้มันน่าอยู่นะ ถ้าทุกคนมีความเมตตา ครอบครัวของเรานี้ก็ที่มันไม่น่าอยู่ ทั้งที่ทุกอย่างมันดีอยู่แล้ว มันก็พร้อมอยู่แล้ว ก็เพราะว่าเราขาดตัวที่มีเมตตา

 

          พระพุทธเจ้าท่านให้เราเมตตาตนเอง แล้วก็เมตตาผู้อื่น บางทีมันก็ขาดไป ไปเมตตาแต่คนอื่น ตนเองไม่เมตตา ไปสงสารแต่คนอื่น ตัวเองไม่สงสาร

          คนเรานี้จะมีความรู้ความสามารถก็มาจากการเรียนการศึกษา จากความเข้าใจ

          ความรู้จากการเรียนการศึกษาจากความเข้าใจนั้น ถ้าเราไม่นำมาประพฤติปฏิบัติมันก็ไม่มีผลต่อตนเอง ต่อบุคคลอื่น

          ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่งสอนเราให้เป็นผู้ที่มีเมตตา นำตนเองมาประพฤติมาปฏิบัติ ที่เราทำอยู่ในขณะนี้เวลานี้ ถ้าเราเป็นคนใจดี เป็นคนใจเมตตานี้ คนที่อยู่กับเราก็มีความสุขทั้งหมด ตัวเราก็มีความสุข

Large_tonkla055

          การกระทำใดก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คัดออกมาจากจิตจากใจที่ประกอบด้วยความเมตตา ที่ประกอบด้วยศีลด้วยธรรม เป็นคนพูดดีพูดเพราะ กิริยามารยาทเรียบร้อย ความดีของเราสามอย่างนี้มันต้องอยู่กับเราตลอด คือ “ใจดี ทำดี พูดดี”

          การสร้างบารมีของเราทำไปเรื่อย ๆ นิสัยเก่าความเคยชินเก่า ๆ มันมีมาก มันรู้ว่าสิ่งอันนี้มันดีอยู่ มันก็ไม่ยอมประพฤติปฏิบัติ มันไม่อยากทิ้ง ไม่อยากปล่อย ไม่อยากวาง

          งานของเรานี้เป็นงานที่รีบด่วน เป็นงานที่ต้องประพฤติปฏิบัติ เป็นงานที่ต้องแก้ไขรีบด่วน ถ้าเราปล่อยเวลาปล่อยโอกาสมันก็ไปของมันอย่างนี้เรื่อย ๆ มันก็ไปตามความเคยชินเก่า ๆ ไปตามนิสัยเก่าของเรา

 

          พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจใหม่ ให้เราทำใหม่ ให้เราพูดใหม่ไปเรื่อย ๆ ที่เราอยู่ที่บ้านที่สังคม พระพุทธเจ้าท่านให้เราถือว่าเป็นสนามรบ ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ให้ถือว่าเป็นสนามสร้างบารมีสำหรับเรา

          ถ้าเราไปบริโภคความสุข ไปติดสุขติดสบาย เราก็ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม เราก็ไม่มีโอกาสได้แก้กายของเรา ไม่มีโอกาสได้แก้คำพูดของเราซักที เราก็ไม่มีโอกาสได้แก้ใจของเราเลย

           ความสุข ความสะดวก ความสบายด้วยปัจจัยสี่ ข้าวของเงินทองที่เรามีอยู่ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้มีไว้สำหรับให้เราได้สร้างความดี มีไว้สำหรับให้เราได้สร้างบารมี ได้สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ใช่มีไว้สำหรับให้เราหลง

 

          พระพุทธเจ้าท่านให้เราเข้าใจในการสร้างความดี เข้าใจในการสร้างบารมี ท่านให้เราเข้าใจว่า เราต้องสร้างในครอบครัวของเราก่อน ให้สร้างในชีวิตประจำวันของเรา ให้สร้างในการในงานของเรานี้แหละ

Large_tongkla101

          เราก็จะไปคิดว่าเราจะแยกกับการปฏิบัติธรรมออกไปมันคนละเรื่องกัน ทำอย่างนี้มันไม่ได้ เราจะไปแยกการแยกงาน แยกการประพฤติปฏิบัติออกจากตัวเราไม่ได้ การทำอย่างนี้มันมีเทคนิคนะ อันไหนมันไม่ดีเราก็อย่าไปทำมัน อันไหนไม่มีเราก็อย่าไปพูดมัน อันไหนไม่ดีเราก็อย่าไปคิดมัน อันนี้คือเทคนิค

          เราต้องคอนโทรลตัวเรา อยู่ที่คำพูด อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าเราไปว่าไม่มีเวลา อะไรก็ไม่มีเวลา อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง “ถ้าเรายิ่งไม่มีเวลา มันก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสักที”

          เราก็ต้องมีเวลามาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามุ่งแต่หาปัจจัยสี่ ไม่หาปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป ก็ทำให้เราพลาดโอกาส เสียโอกาส เสียเวลาในการสร้างบารมี

          ถ้าเรามีโอกาสมีเวลาเราก็มาอยู่วัด มาปฏิบัติธรรมอย่างนี้มันก็ดีนะ แต่เราจะหาเวลาหาโอกาสมาปฏิบัติมันก็น้อย

          ที่เราประพฤติปฏิบัติกันไม่ได้ หรือว่าไม่ปฏิบัติ ก็เพราะ ๑.เราไม่เข้าใจ ๒. เราประมาท ถ้าเราไปรอให้ทุกอย่างมันเป็นเหมือนเราต้องการในใจ มันคงเป็นได้ยาก คงเป็นไปได้น้อย เพราะปัญหาเรื่องนี้จบ ปัญหาหน้ามันต้องมาอีก เพราะมันเป็นโลกธรรม เพราะมันเป็นวัฏฏะสงสาร เพราะมันเป็นอย่างนี้เอง เพราะเราลืมเจริญเมตตาให้กับตนเอง เราถึงไม่เข้าใจเรื่องการประพฤตปฏิบัติ

          เวลาอยู่ในบ้านในครอบครัวก็ไปทิ้งธรรมหมด เอาซะแต่โลก ชีวิตของเราแก่ไปทุกวัน แต่อินทรีย์บารมีของเรามันไม่แก่กล้า

          ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรมมันมีประโยชน์นะ ฐานะทางธุรกิจหน้าที่การงานของเรามันก็ดี จิตใจของเรามันก็ดี ทุกอย่างมันจะดีไปหมด เป็นคนไม่หลงอีกด้วย

Large_td066

          ทุกท่านทุกคนอย่าลืมนะ ความเป็นพระที่แท้จริงนี้อยู่ที่ใจ มันไม่ใช่อยู่ที่กาย

          ดูตัวอย่างนางวิสาขา มหาอุบาสิกา เป็นญาติโยม เป็นฆราวาส แต่จิตใจของเขาเป็นพระอริยบุคคล จิตใจของเขาเป็นพระโสดาบัน ตกกระแส มีข้าวของเงินทองมากมาย มีข้าทาสบริวารมากมาย ครบพร้อมหมด จะเอาอะไรเหมือนเนรมิต เขาอยู่อย่างมีความสุข มีความสุขด้วยการเกื้อกูลผู้อื่น เกื้อกูลบุคคลรอบข้าง มีเมตตาต่อทุก ๆ คนแม้กระทั่งสรรพสัตว์ ไม่หวังเอาความสุขจากข้าวของเงินทองแม้แต่น้อยนิด เสียสละ ใจเสียสละมีเมตตา

          เมื่อตัวเองมีพร้อมหมด ก็นำตนเองมาเกื้อกูลพระศาสนา เอาความรู้เอาความสามารถมาเกื้อกูลพระศาสนา เพื่อเป็นการต่อยอดบุญของตนเอง

          ชีวิตนี้มันน้อยนัก...! ข้าวของทรัพย์สินเงินทองก็ตามได้แต่เพียงชาตินี้ มันต้องแสวงหาบุญ หากุศลต่อยอดไปในภายภาคหน้า ทุกท่านทุกคนก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติได้เหมือนเขา ปฏิบัติได้จนเป็นพระอริยเจ้า...

Large_tonkla016

 


 

พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำบรรยาย

วันอังคารที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

หมายเลขบันทึก: 481213เขียนเมื่อ 7 มีนาคม 2012 05:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 22:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท